แม้ว่า ‘หัวเว่ย’ (Huawei) บริษัทโทรคมนาคมจากจีนจะเจอปัญหาจากการถูกสหรัฐฯ แบน จนทำให้หัวเว่ยเสียลูกค้าไปพอสมควร ถ้าจำกัดได้ก็คือการวางโครงข่าย 5G ในสหราชอาณาจักรที่ได้ ‘Nokia’ (โนเกีย) บริษัทโทรคมนาคมสัญชาติฟินแลนด์เสียบแทน และจากนั้นก็ไม่ค่อยเห็นความเคลื่อนไหวมากนัก อย่างไรก็ตาม แม้ Nokia จะได้แทนที่หัวเว่ย แต่ตลาด 5G ก็ยังมีคู่แข่งอยู่ อาทิ ‘Ericson’ (อีริคสัน) ดังนั้น Nokia จึงประกาศว่าจะทุ่มทรัพยากรทั้งหมดให้กับ 5G
‘Nokia’ เพิ่งออกมาประกาศแผนการที่จะลดจำนวนพนักงานลงถึง 10,000 ตำแหน่งภายในสองปี หรือราว 10% ของพนักงาน โดยมีเป้าหมายในการลดค่าใช้จ่ายให้ได้ 600 ล้านยูโร (2.2 หมื่นล้านบาท) จากฐานต้นทุนภายในสิ้นปี 2566 โดยคาดว่าจะลดต้นทุนได้ครึ่งหนึ่งหรือ 300 ล้านยูโรภายในปี 2565
โดย Nokia ได้วางแผนที่จะเพิ่มการลงทุนในด้านการวิจัยเพิ่มเติมในเรื่องของ ‘5G’ ‘คลาวด์’ และ ‘ดิจิทัล’ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งอย่าง ‘Ericsson’ ของสวีเดนและ ‘Huawei’ ของจีน อย่างไรก็ตาม การลดตำแหน่งงานในครั้งนี้อาจทำให้ Nokia ต้องสูญเสียเงินมากถึง 700 ล้านดอลลาร์ภายในระยะเวลา 2 ปี
Pekka Lundmark CEO คนใหม่ของ Nokia ที่เพิ่งรับตำแหน่งเมื่อปีที่ผ่านมาได้ประกาศกลยุทธ์ใหม่ในเดือนตุลาคมว่า จะ “ทำทุกวิถีทาง” เพื่อเป็นผู้นำใน 5G
“แผนเหล่านี้เป็นแผนทั่วโลกและมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อประเทศส่วนใหญ่ โดยบริษัทกำลังเปลี่ยนโฟกัสจากต้นทุนทั่วไปไปสู่การวิจัยและพัฒนาซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้เกิดการเติบโตและอัตรากำไรที่ดีขึ้นในอนาคต” ตัวแทนของ Nokia กล่าว
ปัจจุบัน Nokia มีพนักงาน 90,000 คน โดย Nokia ได้ลดตำแหน่งงานหลายพันตำแหน่งหลังจากการเข้าซื้อกิจการ Alcatel-Lucent ในปี 2559 โดย Nokia ในฝรั่งเศสได้ปรับลดพนักงานมากกว่า 1,000 ตำแหน่งในปีที่แล้ว ซึ่งไม่รวมอยู่ในแผนการปรับโครงสร้างปัจจุบัน
ในเดือนกุมภาพันธ์ Nokia คาดการณ์รายรับในปี 2564 จะลดลงอยู่ระหว่าง 20.6-21.8 พันล้านยูโร (7.6-8 แสนล้านบาท) จาก 2.19 พันล้านยูโร (8.03 แสนล้านบาท) ในปี 2563 โดยที่ผ่านมาทั้ง Nokia และ Ericsson ได้รับลูกค้าเพิ่มขึ้นเนื่องจากผู้ให้บริการโทรคมนาคมเริ่มเปิดตัวเครือข่าย 5G มากขึ้น แต่ Nokia ไม่ได้รับสัญญา 5G ใด ๆ ในประเทศจีนและยังแพ้ Samsung Electronics ในการจัดหาอุปกรณ์ 5G ให้กับ Verizon