Kantar เปิดข้อมูลการซื้อสินค้า “ของกินของใช้” ประเภท FMCG ปี 2020 พบว่า ช่องทาง “ออนไลน์” กลายเป็นช่องทางเติบโตสูงในการซื้อสินค้ากลุ่มนี้ โดยการเติบโตสอดคล้องกับมาตรการ “ล็อกดาวน์” ทวีปยุโรปโตแรงที่สุด ส่วนทวีปเอเชียมีสัดส่วนการซื้อผ่านออนไลน์สูงที่สุด
บริษัทวิจัย Kantar เก็บข้อมูลจาก 26 ประเทศทั่วโลก รวมประเทศไทย วิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อสินค้าประเภท FMCG ในปี 2020 พบข้อมูลที่น่าสนใจคือ ช่องทาง “ออนไลน์” กลายมาเป็นช่องทางที่ผู้บริโภคเลือกใช้มากขึ้นในการซื้อสินค้ากลุ่มนี้
โดยคาดว่าสอดคล้องกับมาตรการ “ล็อกดาวน์” ที่ทำให้ผู้บริโภคต้องการอยู่บ้านให้มากขึ้น ลดการออกไปในที่ชุมชน ทำให้ทั่วโลกมีการซื้อสินค้า FMCG ผ่านช่องทางออนไลน์คิดเป็นสัดส่วน 12% ของการซื้อทั้งหมด ถือเป็นการเติบโตที่ปกติต้องใช้เวลา 2 ปีจึงจะโตได้เท่านี้
เมื่อแบ่งออกเป็นทวีปต่างๆ พบว่าทวีป “ยุโรป” โตมากที่สุด แม้จะยังมีสัดส่วนจากออนไลน์น้อยเพียงแค่ 9% แต่ในรอบปีก่อนโตเทียบเท่ากับที่ปกติต้องใช้เวลาถึง 9 ปี
อย่างไรก็ตาม ผู้นำในตลาดนี้คือ “เอเชีย” ซึ่งมีสัดส่วนการซื้อ FMCG ผ่านออนไลน์สูงที่สุดถึง 22% ปีก่อนมีการเติบโตมากกว่าปกติเช่นกัน โดยโตเทียบเท่ากับปกติต้องใช้เวลา 1 ปีกับอีก 3 ไตรมาส
เป็นไปได้ว่าทวีปยุโรปมีการเติบโตที่สูงมาก เพราะเป็นภูมิภาคที่เผชิญการล็อกดาวน์บ่อยครั้งและนานที่สุดเมื่อปีก่อน ทำให้ต้องพึ่งพิงการซื้อออนไลน์มากขึ้นเมื่อต้องการของกินของใช้ในบ้าน
FMCG ขายดีเพราะ ล็อกดาวน์
ไม่เพียงแต่ช่องทางออนไลน์ที่โต ภาพรวมในปี 2020 สัดส่วน 2 ใน 3 ของสินค้า FMCG ทั่วโลกมียอดขายที่สูงขึ้น โดยกลุ่มสินค้าที่เติบโตมากที่สุดปีก่อน ได้แก่ เนื้อสัตว์บรรจุกระป๋อง, ซุปกระป๋อง, น้ำยาฟอกขาว, ผ้าอ้อมผู้ใหญ่, ซอสมะเขือเทศ, น้ำตาลและสารให้ความหวาน, อาหารแช่เย็นและแช่แข็ง กลุ่มนี้โตมากกว่า 10%
ส่วนกลุ่มสินค้าที่ยอดขายตก สอดคล้องกับกิจวัตรที่ต้องอยู่แต่ในบ้าน ทำให้สินค้าประเภทเครื่องสำอาง, น้ำหอม และผลิตภัณฑ์กันแดด ติดลบมากกว่า 10%
ทั้งนี้ มีบางประเทศที่เทรนด์ไม่เป็นไปตามสถานการณ์โลก ได้แก่ จีน ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ โคลัมเบีย และเอกวาดอร์ ที่สินค้า FMCG กลับมียอดขายลดลง ส่วนประเทศอื่นๆ เป็นไปตามที่กล่าวข้างต้น
Kantar มองว่า สำหรับยอดขายสินค้า FMCG ไตรมาส 1 ปี 2021 ทั่วโลกจะโตประมาณ 10% โดยเฉพาะกลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม นม และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ้าน ยังโตได้ต่อเนื่อง
แต่คาดว่าทั้งปี 2021 กลุ่มที่เคยขายดีเหล่านี้จะชะลอการเติบโตลง โดยอาจจะติดลบ 1-2% ขณะที่กลุ่มบิวตี้ที่เคยติดลบเมื่อปีก่อนจะกลับมาโต 6% เหตุเพราะว่าโลกน่าจะเริ่มผ่อนคลายมาตรการการล็อกดาวน์อย่างช้าๆ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์โรคระบาดอาจเปลี่ยนแปลงได้เสมอ และมีผลต่อการขาย “ของกินของใช้” เหล่านี้