สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า สถาบันสุขภาพแห่งชาติและกระทรวงสาธารณสุขของอิตาลี รายงานว่าหลังดำเนินโครงการฉีดวัคซีนในระยะแรก 5 สัปดาห์ พบว่าจำนวนผู้ป่วยโรคติดเชื้อ COVID-19 ในประชากรทุกกลุ่มอายุของอิตาลีลดลงถึง 80%
รายงานระดับชาติว่าด้วยประสิทธิภาพของวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 ที่ถูกนำมาใช้งานจริง บันทึกข้อมูลตั้งแต่วันที่ 27 ธ.ค. 2020 ซึ่งเป็นช่วงที่อิตาลีเริ่มโครงการฉีดวัคซีนในประเทศจนถึงวันที่ 3 พ.ค.
รายงานระบุว่าความเสี่ยงที่เชื่อมโยงกับโรค COVID-19 เริ่มลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 2 สัปดาห์หลังการฉีดวัคซีนครั้งแรก ทั้งยังรายงานสถิติ “การติดเชื้อลดลง 80% การรักษาตัวในโรงพยาบาลลดลง 90% และการเสียชีวิตลดลง 95%” หลังการฉีดวัคซีนโดสแรก 35 วัน โดยแนวโน้มรูปแบบดังกล่าวพบได้ในกลุ่มคนทุกเพศ และช่วงอายุ
“ข้อมูลข้างต้นยืนยันถึงประสิทธิภาพของโครงการฉีดวัคซีน และความจำเป็นในการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมกลุ่มประชากรจำนวนมากโดยเร็วเพื่อยุติภาวะฉุกเฉิน” ซิลวิโอ บรูซาเฟอร์โร ประธานสถาบันฯ กล่าว
ผลลัพธ์ที่ชัดเจนหลังการฉีดวัคซีนของแอสตราเซเนกา (AstraZeneca) ไฟเซอร์-ไบออนเทค (Pfizer-BioNTech) หรือโมเดอร์นา (Moderna) โดสแรกนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากกลุ่มผู้ผลิตวัคซีนระบุว่าจำเป็นต้องมีการฉีดวัคซีนโดสที่สองตามหลัง 3-12 สัปดาห์ (ระยะห่างขึ้นอยู่กับชนิดของวัคซีน) เพื่อให้วัคซีนสามารถป้องกันการเกิดโรคได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ส่วนวัคซีนของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน (Johnson & Johnson) ถูกกำหนดให้ฉีดเพียง 1 โดสก็มีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ อิตาลีดำเนินการฉีดวัคซีน COVID-19ให้ประชาชนทั่วประเทศกว่า 26.6 ล้านโดสแล้ว โดยมีประชาชน 8.4 ล้านคน หรือคิดเป็น 14.1% ที่ได้รับวัคซีนครบโดส เมื่อนับถึงวันเสาร์ที่ 15 พ.ค.