10 กลยุทธ์ลงทุนช่วงครึ่งปีหลัง 2564 จาก KBANK รับเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ‘หุ้นยุโรป’ โดดเด่น

Photo : Shutterstock
KBANK มองบวกเศรษฐกิจโลกปี 64 มีเเนวโน้มขาขึ้น จากเเรงหนุนฉีดวัคซีน ช่วงครึ่งปีหลังจะฟื้นตัวแบบขรุขระเเนะกลยุทธ์เพิ่มน้ำหนักลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะ ‘หุ้นยุโรปที่จะโดดเด่นต่อจากสหรัฐฯ เเละสินทรัพย์ทางเลือก ปรับลดทองคำเเละพันธบัตรรัฐบาล ส่วนหุ้นไทยยังน่าสนใจ เเต่ต้องจับตาการคุมโรคระบาดรับมือโควิดกลายพันธุ์

จิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Private Banking Group Head ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า การเร่งฉีดวัคซีน เดินหน้าเปิดเมือง รวมถึงนโยบายการเงินและการคลังที่ยังผ่อนคลาย เป็นปัจจัยสนับสนุนให้เศรษฐกิจโลกปีนี้เติบโตได้ดี

เเต่การฟื้นตัวในแต่ละภาคธุรกิจรวมถึงภูมิภาคนั้นเกิดขึ้นไม่พร้อมกัน ภาคบริการมีแนวโน้มนำการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง หลังจากที่การค้าและการบริโภคฟื้นตัวได้ดีก่อนหน้านี้ และมีแนวโน้มถึงจุดสูงสุดแล้ว

แต่ละประเทศก็ฟื้นตัวไม่พร้อมกัน จีนได้ฟื้นตัวนำหน้าไปแล้ว ตามมาด้วยสหรัฐฯ และตอนนี้มาที่ยุโรป ส่วนประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) น่าจะฟื้นตัวในลำดับถัดไป หากคุมโควิดได้

Photo : Shutterstock

เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ปรับขึ้นแบบ ‘ขรุขระ’ 

ภาพรวมเศรษฐกิจโลก น่าจะขยายตัวสูงสุดในไตรมาส 3 ของปีนี้ หลังกลุ่มประเทศพัฒนาเเล้ว เริ่มขยับขึ้นเข้าใกล้ระดับก่อนโควิด-19 มากขึ้น ส่วนภาพรวมการลงทุนในปีนี้ มีความแตกต่างจากปีก่อนค่อนข้างมาก

โดยทิศทางการฟื้นตัวของสินทรัพย์ต่างๆ โดยเฉพาะสินทรัพย์เสี่ยง จึงไม่ได้เป็นลักษณะ V Shape แบบในช่วงที่ผ่านมาแล้ว แต่จะเป็นการปรับตัวขาขึ้นแบบขรุขระ ที่ต้องเผชิญกับหลุมบ่อระหว่างทาง จึงต้องปรับมุมมองการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ 

  • จีน : เศรษฐกิจจีนจะยังคงแข็งแกร่งในปีนี้ แต่มาตรการทางการเงินและการคลังจะเริ่มลดลงเพื่อลดความร้อนแรง ดังนั้นเราจะเห็นเศรษฐกิจจีนเติบโตในอัตราที่ชะลอลง 
  • สหรัฐฯ: การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2564 ได้รับแรงหนุนหลักจากสหรัฐฯ ซึ่งต่างจากช่วงที่ผ่านมาที่จีนเป็นส่วนสำคัญการเติบโตของเศรษฐกิจโลก 
  • ยุโรป: แม้ยุโรปจะเริ่มฉีดวัคซีนช้ากว่าสหรัฐฯ แต่ก็สามารถเร่งการฉีดวัคซีนได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะหนุนภาคบริการที่เป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจยุโรป นอกจากนี้เศรษฐกิจยุโรป ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากทั้งวงเงิน Recovery Fund และธนาคารกลางยุโรปก็ยังคงมาตรการผ่อนคลาย 

ผู้บริหาร KBank Private Banking มองว่า การลงทุนระยะยาวผ่านการกระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์จะช่วยลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนในระยะสั้น

โดยจะยังคงเน้นการลงทุนหุ้นในธีม Winner of New Economy, Health is Wealth, Save the World และ Laggard and Cyclical Upturns ที่ล้วนมีปัจจัยสนับสนุนเฉพาะ รวมไปถึงความสามารถในการคัดเลือกหุ้นของผู้จัดการกองทุนชั้นนำของโลก จะสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาว  

เงินเฟ้อพุ่ง เเค่ ‘ชั่วคราว’ 

ด้าน ศิริพร สุวรรณการ Managing Director – Private Banking Financial Advisory Head ธนาคารกสิกรไทย ระบุว่า ความเสี่ยงสำคัญเป็นเรื่องการกระจายวัคซีนทั่วโลกยิ่งฉีดช้า เชื้อไวรัสยิ่งมีโอกาสกลายพันธ์สูง

อีกหนึ่งความความเสี่ยง คือ เศรษฐกิจที่เติบโตจนร้อนแรงเกินไป ทำให้ต้องถอนมาตรการทางการคลังและการเงินเร็วเกินกว่าที่ตลาดคาด

ส่วนตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงครึ่งปีแรก เป็นเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น เนื่องจากเป็นกาดีดตัวกลับของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในปีก่อน ที่ได้รับแรงกดดันจากการหยุดชะงักของเศรษฐกิจ ได้แก่ ราคาน้ำมัน ราคาทองแดง และราคาเหล็ก ฯลฯ

เงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นเป็นเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น แม้ว่าเงินเฟ้อจะเริ่มปรับเพิ่มขึ้น แต่ทั่วโลกยังคงอยู่ในยุคของเงินเฟ้อต่ำ” 

ขณะที่ความกังวลจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะเริ่มผ่อนคลายนโยบายและถอนสภาพคล่องนั้น ล่าสุดในการประชุม FOMC เดือนมิ.. Fed ได้ปรับเพิ่มประมาณการ GDP การจ้างงาน และเงินเฟ้อ สำหรับปี 2565 และ 2566 เพียงเล็กน้อยซึ่งเป็นการปรับให้สอดคล้องกับมุมมองของตลาดเท่านั้น

แต่การเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญจากการประชุม ได้แก่ การคาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้งภายในปี 2566 และการเริ่มหารือเกี่ยวกับการลดการซื้อสินทรัพย์แล้ว

อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามการประชุม FOMC อีกครั้งในช่วงเดือนส.. ที่จะเริ่มเห็นสัญญาณลดการเข้าซื้อสินทรัพย์ (QE) ลงในช่วงปี 2565 เเละจะเริ่มลดการเข้าซื้อสินทรัพย์ตั้งแต่ต้นปลายปี 2565 เดือนละ 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 

คาดว่า ขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในช่วงกลางปี 2566 โดยการขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้งในปี 2566 ถือว่ามีโอกาสสูง และอยู่ในวิสัยที่เหมาะสม 

10 กลยุทธ์ลงทุนครึ่งปีหลัง

ตรีพล ภูมิวสนะ Managing Director – Private Banking Business Head แนะนำ 10 กลยุทธ์การลงทุนสำหรับช่วงครึ่งปี จากแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจ ได้แก่

  1. ลงทุนต่อเนื่องในสินทรัพย์เสี่ยง (Stay invested in risky assets) จากภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวดีในปีนี้ จะช่วยหนุนกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียน รวมถึงแนวโน้มเงินเฟ้อที่สูงขึ้นเพียงชั่วคราว จะยังหนุนสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นให้ไปต่อได้
  2. ลงทุนในหุ้นกลุ่มวัฏจักร และ Value ที่ได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว (Capture the recovery with cyclical and value stocks) ปัจจุบันหุ้น Growth นั้นถูกซื้อขายที่ราคาสูงกว่าหุ้น Value อยู่มาก นอกจากนี้ แนวโน้มผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่ปรับสูงขึ้น จะเป็นแรงหนุนให้กับหุ้น Value มากกว่าหุ้น Growth
  3. อย่าพลาดการลงทุนในหุ้นยุโรป (Don’t miss Pan-European equities) เพราะหุ้นยุโรปและหุ้นอังกฤษมี ระดับ Valuation ที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับประเทศอื่น และมีศักยภาพการเติบโตของกำไรสูง
  4. ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลจะปรับเพิ่มขึ้น (Yields to move up at a regular pace) โดยประเมินว่าผลตอบเเทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ที่ 2% ณ สิ้นปี 2564 และ 2.5% ในช่วงปลายปี 2565 สอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาวของดอกเบี้ยนโยบาย Fed
  5. ลงทุนในตราสารหนี้ที่ให้ดอกเบี้ยสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในจีน (Use carry strategies to generate yield) เพราะโดยเฉลี่ยตราสารหนี้จีนให้ผลตอบแทนมากกว่าตราสารหนี้สหรัฐฯ ที่มีอายุเท่ากันถึง 1.5% นอกจากนั้น ตราสารหนี้จีนจะได้ประโยชน์จากทิศทางเงินหยวนที่แข็งค่าอีกด้วย
  6. คงมุมมองบวกต่อค่าเงินหยวน และหาจังหวะเข้าซื้อค่าเงินยูโร (Remain overweight RMB and look for attractive entry points on EUR) เราคาดว่าเงินหยวนจะแข็งค่าสู่ระดับ 6.22 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี หนุนโดยส่งออกและดุลการชำระเงินที่แข็งแกร่ง ขณะที่ยูโรจะแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 1.23 ดอลลาร์สหรัฐต่อ 1 ยูโร ภายในสิ้นปีนี้
  7. คงมุมมองว่าดอลลาร์สหรัฐ จะอ่อนค่า (Remain slightly bearish on the dollar) จากข้อมูลในอดีต ดอลลาร์สหรัฐมักอ่อนค่ากว่ามูลค่าที่เหมาะสม เมื่อเศรษฐกิจโลกเติบโตได้ดี ดังเช่นในปัจจุบัน
  8. ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวลดลง (Remain bearish on gold) ทองคำจะถูกกดดันจากการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ทั้งนี้ เราคาดว่า ณ สิ้นปีนี้ ราคาทองคำจะอยู่ที่ระดับ 1,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
  9. มองหุ้นโครงสร้างพื้นฐานให้ผลตอบแทนโดดเด่น (Infrastructure should outperform) หนุนโดยแผนการฟื้นฟูของสหรัฐฯ และยุโรป ที่พุ่งเป้าไปยังการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเป็นหลัก เราจึงคาดว่าราคาหุ้นกลุ่มนี้จะสามารถปรับขึ้นได้ดี หนุนโดยกระแสเงินทุนที่ไหลเข้าต่อเนื่อง
  10. การลงทุนในบริษัทที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน จะเป็นกุญแจสำคัญของพอร์ตแห่งอนาคต (Sustainability is a key driver of portfolio performance) บริษัทที่ช่วยลดภาวะโลกร้อนจากการปรับเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจ เช่น บริษัทน้ำมันที่เปลี่ยนธุรกิจไปสู่การผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์หรือระบบโซลาร์เซลล์แทน โดยในระยะยาว บริษัทเหล่านี้ถือเป็นผู้นำเทรนด์เศรษฐกิจในโลกอนาคต

สำหรับการหาโอกาสในการสร้างผลตอบแทนเพิ่มในช่วงตลาดที่หลากหลายและมีความผันผวนสูง เเนะให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน ‘สินทรัพย์ทางเลือก’ เช่น หุ้นนอกตลาดเเละ ‘กองรีท’ (REIT) ไปจนถึงกลยุทธ์การลงทุนแบบ Hedge Fund หรือ Structured Notes

ส่วนหุ้นกู้เอกชนจีน’ นั้น ดอกเบี้ยในฝั่งประเทศเกิดใหม่จะน่าสนใจกว่าประเทศพัฒนาแล้ว ตลาดหุ้นกู้จีนก็ยังมี
เสถียรภาพมากขึ้น โดยการลงทุนในหุ้นกู้จีนในบริษัทที่ปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง และมีการเติบโตของกำไรสุทธิที่ดีคาดว่าจะช่วงพยุงพอร์ตโดยรวมได้ดี

“การคัดสรรหุ้นกู้คุณภาพมีความสำคัญ ในทางกลับกัน ก็ให้ลดน้ำหนักการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล เพราะจะได้รับผลกระทบจากบอนด์ยีลด์ขาขึ้นที่จะทำให้ราคาปรับลง รวมถึงอัตราผลตอบแทนก็ต่ำมาก อาจไม่สามารถชดเชยกับแนวโน้มราคาที่ปรับลงได้” 

ด้านภาพรวมตลาดหุ้นไทย มองว่ายังมีความน่าสนใจ เพราะราคาไม่แพงและบริษัทจดทะเบียนยังทำกำไรได้ พร้อมปัจจัยหนุนจากฝั่งยุโรป เเต่ก็ยังมีความท้าทายที่ต้องจับตาอย่างเรื่องการควบคุมโควิด-19 ระลอก 3 การกระจายวัคซีน และแผนการรับมือกับการกลายพันธุ์ ซึ่งหากสามารถเปิดประเทศได้ทันดีมานด์โลก ก็จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ เเต่ถ้าไม่ทันก็จะส่งผลกระทบหนัก โดยเฉพาะภาคท่องเที่ยวเเละบริการที่เป็นหนึ่งในเสาหลักสำคัญของไทย