‘เทสล่า’ แบรนด์รถอีวีของ ‘อีลอน มัสก์’ ในไตรมาสที่ผ่านมายังสามารถขายได้มากกว่า 200,000 คัน เติบโตขึ้นกว่าเท่าตัวกว่าปีที่แล้ว แม้จะมีปัญหามากมายทั้งโดนจีนแบนและการขาดแคลนชิปในการผลิต
ช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมายอดขายเทสล่ามีการส่งมอบอยู่ที่ 201,250 คัน เทียบกับ 91,000 คัน ในไตรมาสเดียวกันกับปีที่แล้ว ขณะที่ไตรมาสแรกมียอดขาย 184,800 คัน การเติบโตดังกล่าวเกิดขึ้นแม้ว่าเทสล่าจะขึ้นราคารถยนต์ เนื่องจากปัญหาต้นทุนของวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีปัญหาการขาดแคลนชิปในอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งหมด
นอกจากนี้ เทสล่ากำลังเผชิญกับปัญหาในเรื่องความปลอดภัยและคุณภาพในประเทศจีน ซึ่งถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกสำหรับการขายรถยนต์และ EV โดยต้องเรียกคืนรถยนต์เกือบ 300,000 คัน ที่สร้างขึ้นที่โรงงานในเซี่ยงไฮ้ จนเริ่มมีความกังวลในหมู่นักลงทุนที่เทสล่าอาจต้องเผชิญปัญหาระยะยาวในประเทศจีน
Dan Ives นักวิเคราะห์ด้านเทคโนโลยีของ Wedbush Securities ที่มีคำแนะนำซื้อหุ้นของ Tesla กล่าวว่า รายงานการขายเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาไม่ได้แบ่งตามตลาด แต่ตัวเลขพาดหัวข่าวน่าจะช่วยคลายความกังวลบางอย่างเกี่ยวกับจีนได้
“โดยรวมแล้ว ไตรมาสนี้เป็นผลงานที่น่าประทับใจและด้วยผลงานที่แข็งแกร่ง คาดว่าทั้งปีบริษัทน่าจะมียอดขายรถยนต์ได้ประมาณ 900,000 คันในปีนี้ โดยตลาดจีนและยุโรปถือเป็นตลาดแข็งแกร่ง”
อย่างไรก็ตาม เทสล่ายังเผชิญกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากรถยนต์ไฟฟ้าจากผู้ผลิตรถยนต์ที่เป็นที่ยอมรับ เช่น Volkswagen, General Motors และ Ford
โดย General Motors (GM) รายงานยอดขายรถอีวีในสหรัฐเพิ่มขึ้น 350% และ รถ Wuling Hong Guang Mini EV ซึ่งเปิดตัวเมื่อปีที่แล้ว เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ขายดีที่สุดในประเทศจีน ส่วน Volkswagen ได้ขายรถอีวีในตลาดยุโรปจำนวนมาก และ ฟอร์ดมัสแตงใหม่ Mach-E มียอดขาย 13,000 คันในสหรัฐฯ นับตั้งแต่เริ่มส่งมอบเมื่อต้นปีนี้ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีคู่แข่งที่มาก แต่ยอดขายของเทสล่าไม่ตกลง แสดงให้เห็นถึงความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นของผู้ซื้อรถยนต์
ปัจจุบัน เทสล่าได้เริ่มการผลิตรถรุ่น Model S และ Model X ที่มีราคาแพงกว่าในไตรมาสนี้ และส่งมอบรถยนต์เหล่านั้นได้ไม่ถึง 2,000 คัน ซึ่ง Ives กล่าวว่า ยอกขายน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะขายได้มากกว่า 5,000 คัน แต่รุ่น 3 และรุ่น Y ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 90% ของยอดขายสามารถทำยอดขายได้สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้