บทเรียนจาก “มิชลิน ไกด์” หนึ่งใน “คอนเทนต์ มาร์เก็ตติ้ง” ที่ประสบความสำเร็จที่สุด

มิชลิน ไกด์ คอนเทนต์ มาร์เก็ตติ้ง
ย้อนกลับไป 121 ปีที่แล้ว โจทย์ของบริษัทยางรถยนต์ไม่ใช่การชิงส่วนแบ่งตลาด แต่เป็นการสร้างดีมานด์  “มิชลิน ไกด์” จึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือ “คอนเทนต์ มาร์เก็ตติ้ง” ผลักขอบเขตจินตนาการของการเดินทางให้กับผู้ใช้รถ และกลายมาเป็นเครื่องมือการตลาดที่อยู่ยืนยงมาถึงทุกวันนี้

“ดาวมิชลิน” เป็นรางวัลการันตีให้กับร้านอาหารที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก แต่ “มิชลิน” ซึ่งเป็นยี่ห้อ “ยางรถยนต์” มาเกี่ยวกับวงการร้านอาหารได้อย่างไร ต้องย้อนกลับไปเมื่อร้อยกว่าปีก่อน

ปี 1889 สองพี่น้อง “เอดูอาร์ และ อังเดร มิชลิน” ก่อตั้งบริษัท Michelin ขึ้นที่ประเทศฝรั่งเศส เพื่อผลิตและจำหน่ายยางรถยนต์ แต่ ณ ขณะนั้น ในฝรั่งเศสมีการใช้รถยนต์อยู่เพียงแค่ 3,000 คัน โจทย์ของบริษัทจึงไม่ใช่แค่แข่งขันกับบริษัทยางล้ออื่นๆ แต่ต้องทำให้มีการใช้รถยนต์มากขึ้นด้วย

ในปี 1900 มิชลินได้สร้างกลยุทธ์การตลาดที่ทำให้คนร่วมวงการงงไปตามๆ กัน เพราะสองพี่น้องลงทุนผลิตหนังสือไกด์บุ๊กชื่อ Le guide rouge de Michelin หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “มิชลิน ไกด์” ออกมาเป็นครั้งแรก

มิชลิน ไกด์ ฉบับปฐมฤกษ์ปี 1900

จุดประสงค์ของมิชลิน ไกด์ คือการเป็นคู่มือนักเดินทางในการไปท่องเที่ยว ในยุคที่ยังไม่มี Google Maps ถ้าไม่มีคู่มือคอยบอกเส้นทาง จุดแวะพักเติมน้ำมัน เปลี่ยนยางกรณียางแตก ร้านอาหารระหว่างทาง จนถึงโรงแรมที่พัก ก็คงมีน้อยคนที่กล้าขับรถออกเดินทางผจญภัยไปไกลๆ มิชลิน ไกด์ จึงรวมข้อมูลทั้งหมดนั้นมาไว้ในหนังสือเล่มนี้เพื่อกระตุ้นให้คนออกเดินทางเยอะขึ้น (และใช้ยางมากขึ้น)

มิชลิน ไกด์ในปีแรกทุ่มผลิตออกมาแจกฟรีถึง 35,000 เล่ม ทั้งที่มีรถในฝรั่งเศสแค่ 3,000 คัน เพราะบริษัทไม่ได้มองแค่การกระตุ้นให้คนที่มีรถอยู่แล้วขับออกไปเที่ยวนอกท้องถิ่นของตนเอง แต่ต้องการปลูกความฝันในใจคนที่ยังไม่มีรถให้ต้องการมีรถไว้ขับไปเที่ยวไกลๆ ด้วย

 

ต่อยอดและสร้างคุณค่า

กลยุทธ์หนังสือนำเที่ยวนี้ถูกนำมาใช้ต่อเนื่องทุกปีและมีพัฒนาการเพิ่มขึ้นหลายด้าน เช่น ความครอบคลุมของแผนที่เริ่มไปไกลกว่าฝรั่งเศส มีแผนที่เลยไปถึงเบลเยียม อัลจีเรีย ตูนิเซีย เยอรมนี สเปน โปรตุเกส อิตาลี คอร์ซิกา หรือกระทั่งทวีปแอฟริกาตอนเหนือ! แผนที่ของมิชลินนั้นละเอียดถึงขั้นที่ต่อมาถูกนำไปเป็นต้นแบบแผนที่ยุโรปในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2

ผู้ก่อตั้งมิชลิน (ซ้าย) เอดูอาร์ มิชลิน (ขวา) อังเดร มิชลิน หน้าป้ายบอกทางเส้นทางมิชลินของบริษัท (Photo : Michelin)

อีกมิติหนึ่งที่มิชลิน ไกด์ถูกพัฒนาจนนับได้ว่ามีคุณค่าของตนเอง ไม่ใช่แค่การตลาดของบริษัทยางล้อแห่งหนึ่ง คือเมื่ออังเดร มิชลินบังเอิญพบว่าหนังสือของพวกเขาถูกเอาไปกองเป็นตั้งใช้นั่งแทนเก้าอี้ในอู่ซ่อมรถ ทำให้หนังสือดูไม่มีคุณค่าเอาเสียเลย บริษัทจึงเปลี่ยนแนวทางใหม่จากการแจกฟรีมาวางจำหน่ายในราคาเล่มละ 7 ฟรังก์เมื่อปี 1920 แลกกับหนังสือที่ขณะนั้นมีความหนาถึง 600 หน้าเข้าไปแล้ว

นอกจากนี้ การรับฟัง feedback จากผู้อ่านทำให้พวกเขาทราบว่า หมวดที่คนสนใจอ่านมากที่สุดในไกด์บุ๊กคือ “ร้านอาหาร” พวกเขาจึงลงทุนกับส่วนนี้มากขึ้น โดยในปี 1926 มิชลินเริ่มว่าจ้าง “นักชิม” แบบไม่เปิดเผยตัวให้ตระเวนชิมอาหารในร้านต่างๆ เพื่อมา “ติดดาว” ให้กับร้านเหล่านั้น

จากเริ่มต้นที่ร้านมิชลินจะมีแค่ติดดาวหรือไม่ติดดาว เมื่อมาถึงปี 1936 มิชลิน ไกด์ก็มีระบบให้ดาวเป็นระดับ 1-3 ดาวเรียบร้อย เป็นรากฐานมาจนถึงทุกวันนี้

 

สรุป

ปัจจุบันมิชลิน ไกด์มีการประเมินร้านอาหารกว่า 30,000 ร้านใน 30 ประเทศ/ดินแดน และจำหน่ายหนังสือไปแล้ว 30 ล้านเล่ม

บทเรียนจากกลยุทธ์คอนเทนต์ มาร์เก็ตติ้งของมิชลิน คือ

1.การมองเห็น ‘pain point’ ที่แท้จริงของลูกค้า ตีโจทย์แตกว่าลูกค้าต้องการคู่มือช่วยเพื่อออกเดินทาง

2.พัฒนาคอนเทนต์สุดฝีมือ ดังที่เห็นว่าแผนที่ของมิชลินนั้นละเอียดถึงขั้นนำไปใช้ในสงครามได้

3.สร้างคุณค่าให้กับคอนเทนต์ กรณีของมิชลิน ไกด์คือเปลี่ยนจากการแจกฟรีเป็นจำหน่าย สร้างความรู้สึกว่าคอนเทนต์นี้มีคุณค่ามากขึ้น

4.รับฟัง feedback และนำมาพัฒนาต่อ โดยบริษัทสังเกตเห็นว่าลูกค้าชื่นชอบหมวดร้านอาหาร จึงพัฒนาให้มีระบบเรตติ้งด้วย

Source: MichelinGuide, CrystalClearCommunications, SpoonAgency