มีเงินไม่ถึงร้อยก็สวยได้

นอกเหนือจากกระแสเกาหลีที่แพร่ระบาดมาจากละคร ภาพยนตร์ เพลง จนมาถึงความงามแล้ว ยังมีปัจจัยสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนให้ตลาดคลินิกความงามเติบโตอย่างเร้าใจเช่นนี้ คือ สงครามโปรโมชั่น ทุกรายในคลินิกความงามทุกระดับต่างรับมือกับการแข่งขันในสมรภูมิที่ดุเดือดนี้อย่างเอาเป็นเอาตาย จนเป็นที่มา มีเงินไม่ถึงร้อยก็สวยได้

ถ้าทำงานเหนื่อย หนัก พักผ่อนน้อย แต่วันรุ่งขึ้นมีนัดไม่ว่าจะประชุมเพื่อรับงานสำคัญ สมัครงาน รียูเนี่ยน หรือเดตกับแฟน แต่ยอมไม่ได้ที่จะปล่อยให้หน้าโทรมทรุด หากเดินเข้าคลินิกความงามอาจช่วยให้สวย ขาวใส เนียน เด้งได้ในพริบตา เหมือนอย่างที่ดาราหลายคนไปใช้บริการ และกลายเป็นรูปโปรโมตแบรนด์ที่ติดอยู่บนผนังของแต่ละสาขาเกือบทุกแบรนด์ นี่คือความต้องการของผู้บริโภคยุคนี้ ที่ทำเงินให้ธุรกิจความงามมากขึ้นเรื่อยๆ

คลินิกความงามปัจจุบันมีบริการให้เลือกหลากหลาย แบ่งได้เป็น 2 บริการหลักๆ คือบริการรักษาปัญหาผิวพรรณ โดยพื้นฐานคือ สิว ฝ้า ซึ่งเฉลี่ยลูกค้ากลุ่มนี้ในปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 60% น้อยกว่าในอดีตที่มีเกือบ 80% ซึ่งไม่ใช่เพราะคนมีปัญหาผิวน้อยลง แต่เพราะสัดส่วนลูกค้าที่ต้องการใช้บริการเสริมให้สวยขึ้น อย่าง หน้าใสเด้ง ลบริ้วร้อยนั้น มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันคลินิกแบรนด์ใหญ่ๆ เริ่มมีลูกค้าทั้งสองกลุ่มพอๆ กัน

สิวฝ้าจ่ายหลักสิบถึงหลักหมื่น

ในกลุ่มปัญหาผิว ผู้บริโภคจะเลือกจากความน่าเชื่อถือของแพทย์เป็นอันดับแรก จากการการบอกต่อจนมาถึงจุดตัดสินใจในเรื่อง ”ราคา” อย่างการรักษาสิว ที่ไม่มีอะไรเป็นที่ต้องการมากไปกว่าการทำให้สิวเม็ดโตยุบเร็วที่สุด โดยเฉพาะก่อนมีนัด บริการฉีดให้สิวยุบจึงมีให้บริการทุกคลินิกและแข่งขันด้านราคากันอย่างหนัก โดยเฉพาะในกลุ่ม 3 แบรนด์ใหญ่ อย่าง วุฒิ-ศักดิ์ คลินิก คิดจุดละ 80 บาท นิติพล คลินิก จุดแรก 100 จุดต่อไป 50 บาท พรเกษมคลินิก ต่ำสุด 200 บาท ขึ้นอยู่กับปริมาณยา แต่การรักษาเป็นคอร์สเพื่อให้สิวหายต้องใช้เวลาหลายเดือน และจ่ายเฉลี่ยครั้งละไม่ต่ำกว่า 700 บาท เดือนหนึ่งเฉลี่ย 2-4 ครั้ง ขึ้นอยู่กับอาการหนักเบา หลายคนหมดเป็นหมื่นบาท

ส่วนใครที่รอได้ ก็ใช้ยาทา แต่ละแห่งราคาไม่ต่างกันนัก คือขั้นต่ำ 50 บาท ส่วนยา หรือครีมบำรุงอื่นๆ ก็มีหลักร้อยจนถึงหลักพันบาท

ปัจจุบัน Entry Price Point ของค่าบริการลดลงอย่างชัดเจน จากเดิม 100 บาทคือราคาเริ่มต้นสำหรับการทำโปรแกรมเอเอชเอและไอออนโต เช่น กรณีของวุฒิ-ศักดิ์ คลินิก นำเสนอราคาเริ่มต้นเพียง 60 บาท เพื่อกระตุ้นดีมานด์ของผู้บริโภคที่มี Price Concern สูง โดยเฉพาะกลุ่มแมส นักเรียน นักศึกษาที่มีรายได้น้อย รวมถึงการดึงลูกค้าจากคลินิกความงามอื่นเปลี่ยนมาทดลองหรือใช้บริการวุฒิ-ศักดิ์ คลินิก

โปรโมชั่นที่มีรูปแบบเหมือนกันหมดนอกเหนือจากการลดราคา คือ การเสนอขายบริการเป็นแพ็กเกจ “ซื้อมากยิ่งลดมาก” เฉลี่ยราคาบริการต่อครั้งลดลง เพื่อดึงดูดให้ผู้บริโภคอยากจะใช้บริการมากขึ้น และสร้าง โอกาสการสร้างสัมพันธ์กับลูกค้าที่มากขึ้นจากความถี่ที่ต้องมาใช้บริการด้วยพันธสัญญาเรื่องแพ็กเกจและ “ความต่อเนื่อง” ของการรักษาซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่คลินิกแต่ละแห่งพยายามสื่อสารว่าเป็น A must หากต้องการเห็นผล

คลินิกหลายแห่งอัดโปรโมชั่นถี่ยิบแบบรายเดือน ยิ่งกว่าสินค้าอุปโภคบริโภคหรือ QSR เสียอีก ยิ่งมีโปรโมชั่นผ่อนบัตรเครดิต 0% ในระยะเวลา 6-10 เดือน ด้วยแล้ว ยิ่งช่วยดันให้ตลาดคลินิกความงามพุ่งปรี๊ดแบบฉุดไม่อยู่

ยิ่งช่วงปลายปีต่อเนื่องถึงต้นปี เป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ ผู้คนต้องการดูดีเพื่อเอาฤกษ์เอาชัย เริ่มต้นปีใหม่อย่างสวยใส แต่ละคลินิกจึงเรียกลูกค้าด้วยโปรโมชั่นลดราคาแพ็กเกจตั้งแต่ 25-70%

จ่าย 300 ใสเด้งในพริบตา สวยไม่หยุดต้องจ่ายแสน

สำหรับบริการที่ทำรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ คือทรีตเมนต์สวย ใส เนียน เด้ง ที่แต่ละแห่งมีบริการให้เลือกหลากหลายรายการ และมีชื่อเรียกต่างกันไป

ที่กำลังเป็นสงครามชิงลูกค้ากันอยู่ตอนนี้ คือประเภทบริการครั้งละเฉลี่ย 500 บาท ที่ทั้ง 3 แบรนด์กำลังโปรโมชั่นเชียร์ลูกค้าอย่างหนัก

พรเกษม คลินิกกับ Ultralift & Rejuvenation ครั้งละ 500 บาท แต่ถ้าซื้อเป็นคอร์ส 6 ครั้ง คิด 2,500 บาท นิติพล คลินิก กับ I can white ปกติ 500 บาท และมีโปรโมชั่นเหลือครั้งละ 300 บาท เท่ากับวุฒิ-ศักดิ์ คลินิก กับบริการ Derma White คิดครั้งละ 300 บาท หรือราคาเบาๆ อย่างไอออนโต ที่เคยเป็นบริการยอดฮิตในอดีตครั้งละ 150 บาท สำหรับค่าบริการสูงสุดเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2,500-5,000 บาทต่อครั้ง

ขณะที่รายเล็กอย่างธนพร คลินิก มีค่าบริการต่ำสุด คือบริการคอร์ส V-Beam Laser ลบเลือนรอยแดง การอักเสบของสิว ช็อตละ 100 บาท ส่วนคอร์สราคาสูงคือ 45,000 บาท จากปกติ 60,000 บาทกับบริการ 9 ครั้ง ในบริการ Derma Smooth 3C Solution คือบริการใช้เลเซอร์ให้ผิวเนียน ขาวกระจ่างใส

การทดลองใช้บริการเหล่านี้หลายคนได้ผลจนเพื่อนทัก จนกลายเป็นแรงส่งให้ใช้บริการต่อเนื่อง รวมไปถึงการใช้บริการอื่นต่อเนื่อง จากค่าบริการหลักร้อย หลักพัน เป็นหลักหมื่น อย่างที่ ”นิติพล คลินิก” ลูกค้าประมาณ 50% ที่ต่อคอร์สอื่น จนบางคนไต่ขึ้นไปถึงหลักแสน ที่ต้องการใช้บริการครบตลอดทั้งปีตั้งแต่เลเซอร์ ทรีตเมนต์ อยากทำเมื่อไหร่ก็มา

นอกจากนี้บางแห่งยังมีคอร์สสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาโครงสร้างใบหน้า และความเหี่ยวย่น ด้วยการเทคนิคและเครื่องมือยกกระชับ ที่คลินิกที่ให้บริการนี้ต้องนำเข้าอุปกรณ์ในราคาหลักล้านบาท ราคาเฉลี่ยประมาณ 30,000-50,000 หมื่นบาท ที่ผิวหน้าจะดูดตึงกระชับไปประมาณ 1 ปีครึ่ง

ก๊อบปี้ต้องกระชากใจ

นอกเหนือจากโปรโมชั่นที่ใช้เป็นธงนำแล้ว ก๊อบปี้ที่ใช้ก็ทั้งกระชากความสนใจ และกระแทกจุดด้อยที่เป็นปมในใจผู้บริโภค ซึ่งถูกหยิบยกมาใช้เป็นเครื่องมือทางการตลาดผ่านก๊อบปี้สะดุดหู เช่น รมย์รวินท์มีโปรแกรม Nefertiti Lift ที่โฆษณาว่า “บอกลา หน้ากาง คางห้อย คอย้อย” หรือการตั้งชื่อโปรแกรมจะสื่อถึงความรวดเร็ว ประสิทธิผลที่จะได้รับ เช่น Acne Sure, Forever Young, Wake up White ,Ultra Lift และ Active Smooth เป็นต้น

ตัวอย่างการจัดโปรโมชั่นและแพ็กเกจของคลินิกแต่ละแห่งที่สร้างความรู้สึกคุ้มค่าให้กับผู้บริโภคเช่น
รมย์รวินท์ – Thermage ราคาเริ่มต้น 10,000 บาท
พรเกษม คลินิก – Lite Clear Plus จากเดิมราคา 15,000 บาทต่อ 6 ครั้ง เป็น 12,000 บาทต่อ 6 ครั้ง
นิติพล คลินิก – Acne Program เริ่มต้นครั้งละ 750 บาท แพ็กเกจ 10 ครั้งเพียง 6,000 บาท สามารถแบ่งชำระ 8 งวด งวดละ 750 บาท
ธนพร คลินิก – Advance Brightening Laser Hydro Plus ราคา 25,000 บาทต่อ 5 ครั้ง แถมฟรี 5 ครั้ง สรุปแล้วเฉลี่ยราคาครั้งละ 2,500 บาท จากเดิมครั้งละ 5,000 บาท
ราชเทวีคลินิก – AHA Treatment ครั้งละ 300 บาท หากซื้อเป็นแพ็กเกจ 1,350 บาทต่อ 5 ครั้ง

โปรแกรมยอดนิยมของคลินิกเสริมความงาม

สำรวจจากการโปรโมตบริการประเภทต่างๆ ของคลินิกความงามแต่ละแห่งและจากการสัมภาษณ์ผู้บริหารของคลินิกความงาม พบว่า มีความคล้ายคลึงกันในเรื่องของโปรแกรมยอดนิยมที่ส่วนใหญ่จะมีคุณลักษณะร่วมกันนอกเหนือจากความต้องการในการรักษาผิวพรรณรูปแบบต่างๆ แล้ว คือ ได้รับการยอมรับในประสิทธิภาพของเทคโนโลยีที่ปลอดภัย ใช้เวลารักษาไม่นาน ส่งผลข้างเคียงน้อยหรือไม่มีผลข้างเคียง ดังนี้
1.ผิวขาว กระจ่างใส
2.รักษาสิว
3.รักษาร่องรอยแผลเป็นจากสิว รอยแดง รอยหมองคล้ำ ด้วยเลเซอร์ V-Beam
4.IPL ลดเลือนจุดด่างดำ กระชับรูขุมขน
5.ยกกระชับหน้า ลดรอยเหี่ยวย่น โดย Thermage และ Botox
6.รักษาร่องรอยลึก ผิวไม่กระชับ ด้วย Ulthera
7.Fraxel เลเซอร์ลบรอยแผล ไม่ทำอันตรายผิวบริเวณใกล้เคียง ทำให้ผิวเรียบใส

นอกจากชื่อโปรแกรมรักษาที่เป็นสากลดังกล่าวแล้ว แต่ละคลินิกพยายามสร้างจุดต่างด้วยการแต่งเติมเสริมคำให้ดูมีพลัง ดูพิเศษ และทรงประสิทธิภาพยิ่งขึ้นจากส่วนผสมหรือเทคโนโลยีใหม่ที่เพิ่มเติมเข้าไป เช่น Ultra Ulthera, Thermage CPT, Advance IPL และ Botox Gold เป็นต้น

ความขาวใส ดูจะเป็นโปรแกรมอันดับต้นๆ ของแต่ละคลินิก โดยเฉพาะคลินิกในระดับ C-B ที่มีดาราเป็นพรีเซ็นเตอร์ เนื่องจากคนทั่วไปอยากดูดีเหมือนดารา และคลินิกเหล่านี้โฆษณาตอกย้ำความเชื่อที่ว่าใครๆ ก็สวยใสเหมือนดาราได้ เป็นเหตุให้โปรแกรมทรีตเมนต์พื้นฐานนี้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นตลอดเวลา

ขณะที่โปรแกรมจำพวกยกกระชับผิวหน้าหรือลดเลือนริ้วรอย นอกเหนือจากจะได้รับความนิยมสูงสำหรับกลุ่มผู้ใหญ่แล้ว กลุ่มวัยรุ่นก็เริ่มใช้บริการนี้กันมากขึ้นด้วยเหตุผลสั้นๆ คือ กลัวแก่หรือกลัวเหี่ยวก่อนวัย และยิ่งไปกว่านั้นคือต้องการอ่อนกว่าวัยด้วย

นาทีทำเงิน

ธุรกิจความงาม ที่กลายเป็นธุรกิจหมื่นล้านบาท ทำให้แต่ละนาทีที่ผ่านไปในคลินิกความงาม หมายถึงเม็ดเงินที่หลั่งไหลเข้าตลอดเวลา เป็นยุคทองของแพทย์ผิวหนังอย่างแท้จริง

การตรวจของแพทย์ผิวหนังในคลินิกความงามเหล่านี้ หากเป็นลูกค้าเก่าเฉลี่ยใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที ถ้าเป็นลูกค้าเก่าเฉลี่ย 10-15 นาที ขึ้นอยู่กับอาการ จากนั้นเป็นหน้าที่ของพนักงานที่ถูกเทรนมาให้บริการในการดูแล ทรีตเมนต์ผิวหน้า ที่เฉลี่ยใช้เวลาอีกคนละประมาณ 15-45 นาที หากเทียบกับค่าใช้จ่ายของลูกค้าแล้ว รวมค่ายา ค่าบริการต่อครั้งเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 700-1,000 บาท ถือว่าเป็นธุรกิจที่ทำรายได้ได้ดี และเร็ว จนไม่น่าแปลกใจว่าทำไมธุรกิจคลินิกความงามในเวลานี้จึงเติบโตอย่างไม่หยุด