จากการระบาดของ COVID-19 ที่มาหลายระลอกจนหลายคนชินชาที่จะต้องทำทุกกิจกรรมภายในบ้านโดยเฉพาะ ‘การทำงาน’ หรือ ‘Work From Home’ และดูเหมือนว่าแม้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง แต่เวลาในการทำงานกลับเหมือนไม่มีสิ้นสุด นำไปสู่อาการหมดไฟ และต้องการเวลาส่วนตัวมากขึ้น
ทุกวันนี้ ผู้คนทั่วโลกรู้สึกกดดัน เครียด และเหนื่อยล้ามากขึ้น แม้ว่าการทำงานจากที่บ้านจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับวันทำงาน แต่ขณะเดียวกันองค์กรก็มีความคาดหวังเพิ่มสูงขึ้นว่าพนักงานจะต้อง พร้อมทำงานอยู่เสมอ และสำหรับหลาย ๆ คน เส้นแบ่งระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวได้ถูกหลอมรวมเป็นเส้นเดียวกันไปแล้ว ทำให้สิ่งที่หลาย ๆ คนต้องการมากที่สุดก็คือ ‘เวลาส่วนตัวที่มากขึ้น’
ก่อนที่โลกจะก้าวเข้าสู่โลกของการทำงานแบบไฮบริดในอนาคต อะโดบีได้สำรวจความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่าง 5,500 คน ซึ่งประกอบด้วยพนักงานบริษัท ผู้ประกอบการธุรกิจ SME ใน 7 ภูมิภาคทั่วโลก โดยมีการสอบถามเกี่ยวกับเวลาที่รู้สึกกดดันมากที่สุด และส่งผลกระทบกับชีวิตทำงานและชีวิตส่วนตัวอย่างไร ซึ่งคำตอบที่ได้รับชี้ให้เห็นว่าแนวคิดเรื่องเวลาได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
WFH ทำให้เวลาส่วนตัวกลายเป็นเวลาทำงาน
หนึ่งในคำถามที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับการทำงานจากที่บ้านคือ “ก่อนนี้เราเคยใช้เวลาราวสองชั่วโมงต่อวันเดินทางไป-กลับที่ทำงาน แต่ตอนนี้เมื่อเราทำงานจากที่บ้าน เราใช้เวลาดังกล่าวไปกับเรื่องใดบ้าง?” คำตอบที่ได้คือ คนจำนวนมากใช้เวลาว่างที่เพิ่มขึ้นเป็นชั่วโมงทำงานที่เพิ่มขึ้น
จากผลการสำรวจของอะโดบี พบว่า 49% ของพนักงานบริษัท และ 56% ของผู้ประกอบการ SME ระบุว่า ทุกวันนี้พวกเขาใช้เวลาทำงานยาวนานกว่าเดิม กล่าวคือ พนักงานบริษัททำงานโดยเฉลี่ย 44.9 ชั่วโมง/สัปดาห์ ส่วนผู้ประกอบการ SME ทำงานโดยเฉลี่ย 45.1 ชั่วโมง/สัปดาห์ ซึ่งมากกว่าชั่วโมงทำงานปกติ
เวลาที่เพิ่มขึ้นย่อมหมายถึง แรงกดดันที่เพิ่มขึ้น ว่าพนักงานหรือผู้ประกอบการต้อง พร้อมติดต่อได้เสมอ แม้กระทั่ง หลังเวลาเลิกงาน ทั้งนี้ เกือบครึ่งหนึ่งของพนักงานบริษัท และ 3 ใน 5 ของผู้ประกอบการ SME รู้สึกกดดันที่จะต้องตอบกลับอีเมล และแก้ปัญหาให้กับลูกค้าหลังเวลางาน
ภาวะหมดไฟในการทำงาน
ภาวะหมดไฟในการทำงาน (Burnout) กลายเป็นปัญหาที่พบมากในช่วงปีที่ผ่านมา โดยผู้ประกอบการ SME กว่า 1 ใน 3 ประสบกับปัญหาที่พนักงานรู้สึกเหนื่อยล้า และหมดไฟในการทำงานเพราะความเครียดจากการทำงานในช่วงแพร่ระบาด
อย่างไรก็ตาม ภาวะหมดไฟในการทำงานไม่ได้เกิดขึ้นในระดับที่เท่าเทียมกันกับคนทุกกลุ่ม โดยผู้ประกอบการที่เป็นชนกลุ่มน้อยราว 67%, ผู้ประกอบการที่เป็นสตรี 49% ด้านผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตของผู้คน (ร้านขายของชำ) ราว 67% มีความเครียดเกี่ยวกับเวลาในการทำงานมากกว่าผู้ประกอบการที่ไม่ใช่ชนกลุ่มน้อย 52%, ผู้ประกอบการที่เป็นผู้ชาย 38% และผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กบางประเภท 49%
ความเครียดดังกล่าวส่งผลกระทบไปถึงเรื่องชีวิตส่วนตัวด้วย โดยผู้ประกอบการที่เป็นชนกลุ่มน้อย 64%, ผู้ประกอบการที่เป็นสตรี 54% และผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตของผู้คน 60% มีความเครียดในเรื่องชีวิตส่วนตัวมากขึ้น จากการที่ต้องคอยประคับประคองธุรกิจให้อยู่รอดในเวลาเดียวกัน
ผลการสำรวจพบว่า ผู้ประกอบการที่เป็นชนกลุ่มน้อย 55% และผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตของผู้คน 51% ว่าตนเองรู้สึกหมดไฟในการทำงานและการประกอบธุรกิจ นอกจากนี้ ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กที่จำเป็นเกือบครึ่งหนึ่งระบุว่าตนเอง ยินดีที่จะขายธุรกิจในวันพรุ่งนี้ถ้าเป็นไปได้
กลุ่มคน Gen Z กว่าครึ่งพร้อมลาออก
ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่มีพนักงานลาออกเพิ่มมากขึ้น โดยในช่วงเดือนเมษายนเพียงเดือนเดียว พนักงานในสหรัฐฯ กว่า 4 ล้านคนลาออกจากงาน ตามข้อมูลจากกระทรวงแรงงานของสหรัฐฯ ขณะที่พนักงานบริษัท 35% ระบุว่าตนเองมีแผนที่จะเปลี่ยนงานในปีหน้า และ 61% ของคนกลุ่มนี้ระบุถึงเหตุผลว่าเป็นเพราะ ต้องการที่จะออกแบบตารางเวลาชีวิตของตนเองได้อย่างอิสระมากขึ้น
ตัวเลขดังกล่าวอยู่ในระดับที่สูงยิ่งขึ้นสำหรับคนเพิ่งเริ่มทำงาน โดยถึงแม้ว่าคน Gen Z จะเพิ่งเข้าสู่ตลาดแรงงานเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ กว่าครึ่ง หนึ่งมีแผนที่จะหางานใหม่ในปีหน้า นอกจากนี้ คนกลุ่มนี้ยังระบุว่าพวกเขามีความพึงพอใจน้อยที่สุดกับ work-life balance (56%) รวมถึงอาชีพการทำงานโดยรวม (59%) และคนกลุ่มนี้รู้สึกกดดันมากที่สุดที่จะต้องทำงานใน ช่วงเวลาทำงานตามปกติ (62%)
1 ใน 4 ระบุว่าตนเองทำงานได้ดีที่สุดในช่วงเวลาอื่นที่ไม่ใช่เวลาทำงาน 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น ซึ่งเกือบครึ่งหนึ่งของคนรุ่น Gen Z ระบุว่าตนเองมักจะทำงานบนเตียงนอนเป็นประจำ
เทคโนโลยี ตัวช่วยเสริมการทำงาน
จากการสำรวจพบว่า พนักงานมีความคาดหวังที่สูงขึ้นเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่จะช่วยให้พวกเขาทำงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ งานง่าย ๆ อย่างเช่น การจัดการไฟล์ แบบฟอร์ม สัญญา การชำระเงิน และใบแจ้งหนี้
เนื่องจากพนักงานต้องใช้เวลาราว 1 ใน 3 ของชั่วโมงทำงานไปกับ งานธุรการที่ต้องทำซ้ำ ๆ โดย 86% ของพนักงานบริษัท และ 83% ของผู้ประกอบการ SME ระบุว่างานปลีกย่อยเหล่านี้เป็นอุปสรรคที่บั่นทอนประสิทธิภาพในการทำงาน 91% ของผู้ตอบแบบสอบถามมีความสนใจในเครื่องมือที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับงานหรือกระบวนการต่าง ๆ เช่น Adobe Acrobat และ Adobe Sign
ดังนั้น ในอนาคต พนักงานจะต้องทำงานร่วมกันกับคนที่อยู่ในออฟฟิศ และคนที่ทำงานจากที่บ้าน ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีการปรับใช้เครื่องมือทางด้านเทคโนโลยีที่ใช้งานง่าย รวมไปถึงเทคโนโลยี AI และระบบอัตโนมัติ เพื่อรักษาและดึงดูดบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถให้ทำงานกับองค์กรไปนาน ๆ
โดยผลการศึกษาของอะโดบีชี้ว่า พนักงานบริษัทราวครึ่งหนึ่งพร้อมที่จะเปลี่ยนงานถ้าหากว่าที่ทำงานใหม่มีเครื่องมือที่ดีกว่า ซึ่งจะช่วยให้เขาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และถ้าหากพนักงานมีเวลาว่างมากขึ้น ผู้ตอบแบบสอบถามกว่าครึ่งตอบว่า จะใช้เวลาว่างที่ไปกับเรื่องอื่น ๆ ที่ตนเองสนใจ รวมถึงการพัฒนาทักษะและความสามารถเพื่อการเติบโตในอนาคต