เสียวหมี่ (Xiaomi) เปิดแผนรุกหนักเปิด Mi Store เพิ่มเป็น 100 จุดในไทยภายในสิ้นปี 2564 เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสสินค้าง่ายขึ้น อนาคตโฟกัสมือถือ High-End มากขึ้น เตรียมนำเข้าของใช้ IoT อีกเพียบหลัง “เครื่องฟอกอากาศ” และ “Mi Band” ฮิตจัด
เป็นปีของ “เสียวหมี่” ทั้งในไทยและตลาดโลก เมื่อสมาร์ทโฟนของเสียวหมี่ปีนี้ขึ้นแท่นอันดับ 1 ในไทยเรียบร้อยแล้ว และขึ้นเป็นอันดับ 2 ของโลก แต่ตามกลยุทธ์ของเสียวหมี่ไม่ได้จะครองตลาดเฉพาะสมาร์ทโฟน บริษัทยังมีสินค้า IoT อีกมากกว่า 1,000 SKUs ที่ตัองการเจาะเข้าไปอยู่ในบ้านผู้บริโภคทุกหลังคาเรือน
“โจนาธาน คัง” ผู้จัดการ เสียวหมี่ ประเทศไทย เปิดแผนการตลาดในไทย ปีนี้จะมีการเปิด “Mi Store” เพิ่มจากปัจจุบัน 38 จุด เป็น 100 จุดภายในสิ้นปี 2564
เป็นโจทย์ที่ท้าทายของบริษัทเพราะนั่นหมายถึงการขยายตัวอย่างรวดเร็วในเวลาไม่ถึง 4 เดือน แต่บริษัทจะเร่งขยายตัวให้เร็วที่สุดที่ทำได้ โดยมีพันธมิตรศูนย์การค้าติดต่อมาแล้วจำนวนมาก อยู่ระหว่างคัดเลือกพื้นที่
การขยายสโตร์จะแบ่งสัดส่วนเป็นสาขาในกรุงเทพฯ 40% และต่างจังหวัด 60% ส่วนขนาดร้านจะขึ้นอยู่กับหลายๆ ดัชนีชี้วัด เช่น จำนวนประชากร แต่โดยทั่วไปแล้วหัวเมืองจะลงร้านขนาดใหญ่แน่นอน เพื่อให้ลูกค้าได้ประสบการณ์สัมผัสอุปกรณ์ของเสียวหมี่ให้มากที่สุด
แม้ประเทศไทยเพิ่งคลายล็อกดาวน์ และสถานการณ์การระบาดยังไม่แน่นอน แต่บริษัทค่อนข้างมั่นใจเรื่องทิศทางการเปิดสโตร์ ผ่านการประเมินเสียงเรียกร้องของ “แฟนๆ” ที่ส่งข้อความผ่านโซเชียลมีเดียขอให้เสียวหมี่เปิดร้านใกล้บ้าน
บุกหนัก “สมาร์ทโฟนไฮเอนด์”
สำหรับสินค้าหลักของเสียวหมี่อย่าง “สมาร์ทโฟน” ที่ปีนี้เพิ่งแซงซัมซุงขึ้นมาครองเบอร์ 1 ได้ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา คังระบุว่า บริษัทจะพยายามคงโมเมนตัมยึดครองเบอร์ 1 ให้ได้ต่อไป
ปัจจุบันสัดส่วนตลาดมือถือในไทยแบ่งตามเซ็กเมนต์ แบ่งเป็น
– Entry-Level (ราคาไม่เกิน 200 USD) สัดส่วน 65%
– Mid-End (ราคา 200-500 USD) สัดส่วน 25%
– High-End (ราคามากกว่า 500 USD) สัดส่วน 10%
สัดส่วนยอดขายของเสียวหมี่สอดคล้องกับตลาด อย่างไรก็ตาม ปีนี้จะเห็นได้ว่าบริษัทรุกหนักในตลาดบนมากขึ้น จากการออกสมาร์ทโฟนระดับ High-End 3 รุ่น คือ Mi Mix Fold, Mi 11 Ultra และ Mi 11
คังยังประเมินตลาดมือถือไทยด้วยว่า ปี 2564 มีการคาดการณ์จาก Canalys ว่าจะเติบโต 16% แต่เมื่อไตรมาส 2 ตลาดติดลบไป -9% อย่างไรก็ตาม คังเชื่อว่าจนถึงสิ้นปีตลาดไทยน่าจะยังพลิกเป็นบวกได้
โดยปีนี้เชื่อว่าตลาดที่ยังไปได้ดีคือกลุ่ม High-End และ Mid-End เพราะกลุ่มเป้าหมายมีกำลังซื้อ ยังต้องการตามนวัตกรรมใหม่ๆ ที่มีให้ในสมาร์ทโฟน
ดึงสินค้า IoT เข้าไทยอีกเพียบ
ด้านสินค้า IoT ที่เสียวหมี่ให้ความสำคัญไม่แพ้กัน แม้ตอนนี้จะคิดเป็นเพียง 10% ในรายได้รวมของตลาดไทย แต่อนาคตจะมีการนำเข้าสินค้าชนิดใหม่เข้ามาอีกจำนวนมาก
คังมองว่าคนไทยจะให้การตอบรับที่ดีกับของใช้ IoT เหมือนกับทั่วโลกที่เสียวหมี่มองว่าสินค้าที่สามารถ ‘connect’ ได้นั้นจะตอบโจทย์โลกอนาคต
ปัจจุบัน Top 3 สินค้า IoT ที่ขายดีที่สุดของเสียวหมี่ในไทย คือ เครื่องฟอกอากาศ, Mi Band และ สมาร์ททีวี ที่เพิ่งเข้าไทยครั้งแรกปีนี้
โดยเฉพาะ Mi Band นั้น คังกล่าวว่าเป็นเบอร์ 1 ของตลาดสายรัดข้อมืออัจฉริยะ ครองส่วนแบ่งในไทย 35% และเติบโตได้ถึง 34% YoY
ต้องติดตามต่อว่าเสียวหมี่จะยืนระยะเบอร์ 1 ในตลาดสมาร์ทโฟนได้นานแค่ไหน และสินค้า IoT ที่จะเข้ามาบุกจะมีอะไรบ้าง!