ดาวน์นี่ จากพีแอนด์จี เปิดศึกชนคอมฟอร์ทอย่างจัง ในสูตรน้ำเดียว ซึ่งเป็นSub-segment ล่าสุดในน้ำยาปรับผ้านุ่มสูตรเข้มข้นซึ่งเติบโตอย่างเร้าใจ เพื่อตอบสนองความต้องการประหยัดน้ำของแม่บ้านซักมือโดยเฉพาะ
วรศิษย์ ตุรงค์สมบูรณ์ ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ ประจำประเทศไทย บริษัท พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด บอกกับ POSITIONING ว่า การเปิดตัวดาวน์นี่ในช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เนื่องจาก Consumer Insight ของผู้บริโภคในช่วงซัมเมอร์ต้องการประหยัดน้ำที่ใช้ในชีวิตประจำวันให้ได้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็เพิ่มความสะดวกและลดขั้นตอนการซักผ้า
จุดเด่นคือใช้ในปริมาณ 1 ใน 5 ของน้ำยาปรับผ้านุ่มธรรมดาที่เคยใช้ ทำให้ประหยัดทั้งปริมาณการใช้และประหยัดน้ำมากกว่าเดิม 3-4 เท่า แม้จะมีราคาจำหน่ายสูงกว่าสูตรธรรมดาก็ตาม
เซ็กเมนต์นี้เกิดได้เพราะเทคโนโลยีที่ Breakthrough จริงๆ เพราะนอกเหนือจากกลิ่นหอมที่สดชื่นอันเป็นหนึ่งในคุณสมบัติสำคัญของน้ำยาปรับผ้านุ่มโดยทั่วไปแล้ว ยังลดขั้นตอนในการซักผ้าจากปกติที่ต้องล้างน้ำ 3-4 ครั้งเหลือเพียงครั้งเดียว ตอบโจทย์ผู้บริโภคทั้งเรื่อง Timing และ Convenience โดยดาวน์นี่ น้ำเดียว เปิดตัวเป็นครั้งแรกในโลกที่เม็กซิโกตั้งแต่ปี 2547 ตามด้วยเวเนซูเอลาปี 2549 จีนและเวียดนามในปี 2550 และฟิลิปปินส์ในปี 2551
ท็อป-ดารณีนุช โพธิ์ปิติ ถูกเลือกให้เป็นพรีเซ็นเตอร์ หลังจากเคยเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้แฟ้บเมื่อ 3 ปีก่อนว่า ดูแล้วว่าภาพลักษณ์ของผู้หญิงที่ห่วงใย ดูแลครอบครัว เป็นคนคุมค่าใช้จ่ายในครอบครัว น่าตัวแทนของกลุ่มแม่บ้านที่มีความคำนึง กังวล เกี่ยวกับการใช้น้ำ ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของดาวน์นี่น้ำเดียวได้
แม้ว่าดาวน์นี่จะปล่อยให้คอมฟอร์ทออกสูตรน้ำเดียวล่วงหน้าร่วมครึ่งปี แต่ดาวน์นี่ก็มองแง่ดี เพราะในตลาดผงซักฟอกที่ลูกค้ามีความจงรักภักดีน้อย การให้คู่แข่ง Educate ตลาดไปก่อน น่าจะเป็นผลดีเพราะไม่ต้องออกแรงมาก และในตลาดก็มีเพียง 2 แบรนด์เท่านั้นมีสูตรน้ำเดียวให้เลือก
แต่การออกสูตรน้ำเดียวครั้งนี้ ดาวน์นี่ก็ฝากความหวังไว้ไม่น้อย เพราะจะเป็นการช่วยให้มูลค่าตลาดน้ำยาปรับผ้านุ่มที่ใกล้อิ่มตัวแล้ว โดยมีอัตราใกล้เคียงกับผงซักฟอกซึ่งทุกครัวเรือนใช้ ถูกขยายออกไป
“สูตรเข้มข้นช่วยทำให้ตลาดโตในแง่มูลค่า เพราะตอนนี้ Penetration ของน้ำยาปรับผ้านุ่มใกล้เต็มแล้ว” วรศิษย์บอก
ดูจากสูตรเข้มข้น ที่ส่วนแบ่งการตลาดเติบโตถึง 37% จากปี 2552 ซึ่งอยู่ที่ 7% เพิ่มขึ้นเป็น 10.7% ส่วนแบรนด์ของดาวน์นี่เองก็โตถึง 60% ในปี 2553 มาจากการมีผลิตภัณฑ์ Variant ที่หลากหลายมากขึ้น
แม้ว่าในภาพรวมตลาด ตลาดน้ำยาปรับผ้านุ่มดาวน์นี่จะมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับที่ 5 และห่างจากผู้นำอย่างคอมฟอร์ทกว่า 3 เท่า แต่ก็ได้ตลาดลูกค้าในเมือง ระดับB ขึ้นไป ดูจากยอดขายช่องทาง Modern Trade Positioning ที่ดาวน์นี่คุมตลาดอยู่
เมื่อสู้ในตลาดน้ำยาปรับผ้านุ่มสูตรธรรมดาซึ่งคู่แข่งมากหน้าหลายตา แถมไม่ได้ราคา ก็ขอโตในเซ็กเมนต์ที่รุ่งน่าจะดีกว่า ในฐานะผู้มาทีหลัง ก็ต้องหาอะไรที่ดีกว่ามาเป็นจุดขาย
ดาวน์นี่ น้ำเดียว | |
Official Launch | กุมภาพันธ์ 2554 |
Positioning | น้ำยาปรับผ้านุ่มระดับบนสำหรับแม่บ้านยุคใหม่ที่ชีวิตทำงานในเมือง |
Product Details | แบบขวดขนาด 400 มล. ราคา 52 บาท, ซองแบบเติม (Refill) ขนาด 375 มล. ราคา 43 บาท และซองเล็ก (Sachet) ขนาด 24 มล. ราคา 4 บาท |
Target | กลุ่มแม่บ้านยุคใหม่ ส่วนใหญ่ในต่างจังหวัดที่มีพฤติกรรมซักผ้าด้วยมือ ซึ่งมีความกังวลในการใช้น้ำ และต้องการใช้น้ำอย่างประหยัด |
Strategy | โรดโชว์สาธิตการใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อให้ผู้บริโภคเห็นผลกับตา และทำให้เกิดการทดลองใช้ ทำกิจกรรมร่วมกับรายการวิทยุ รวมถึงการสื่อสารด้วยภาพยนตร์โฆษณา สื่อสิ่งพิมพ์ และจำหน่ายเฉพาะช่องทางโมเดิร์นเทรด |
Competitors | คอมฟอร์ท น้ำเดียว เป็นผู้เล่นหลักของตลาดนี้และเปิดตัวก่อนร่วมครึ่งปี ทั้งยังมีราคาสูงกว่า แต่ด้วยภาพลักษณ์แบรนด์ดาวน์นี่ที่วางไว้พรีเมียมกว่าคอมฟอร์ท จะทำให้ได้ลูกค้าที่เป็นเกรด B ขึ้นไป ขณะที่คู่แข่งแบรนด์อื่นอย่างไฟน์ไลน์ ไฮยีน และไฮคลาส ไม่มีนวัตกรรมนี้ |
ตลาดน้ำยาปรับผ้านุ่มมูลค่า 6,700 ล้านบาท (by segment) มีอัตราเติบโตในปี 2553 เทียบกับปี 2552 ราว 7% | ||
สูตรธรรมดา | 4,500 ล้านบาท | -13% |
สูตรเข้มข้น | 2,200 ล้านบาท | +40% |
ส่วนแบ่งการตลาดน้ำยาปรับผ้านุ่ม (by brand) | |
คอมฟอร์ท | 32.2% |
ไฟน์ไลน์ | 17.5% |
ไฮยีน | 14.2% |
ไฮคลาส | 11.1% |
ดาวน์นี่ | 10.7% |