โมเดล 3T สไตล์ญี่ปุ่น กลยุทธ์เพื่อ “นิวเคลียร์”

อาคารขนาดกลางสีฟ้าขาว ลวดลายดูสดใส มีเรื่องราวให้ผู้คนได้ค้นหาอยู่ภายในด้วยห้องจัดนิทรรศการ พิพิธภัณฑ์ขนาดย่อม รวมไปถึงหุ่นตุ๊กตาน่ารัก ที่ไม่เพียงเด็กอยากถ่ายรูปด้วย แต่ผู้ใหญ่หลายคนก็อดใจไว้ไม่ได้

ที่นี่ไม่ใช่สวนสนุก หรือศูนย์เรียนรู้ แต่ด้านหลังของอาคารแห่งนี้ คือโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ “เกนไก” ของบริษัทไฟฟ้าคิวชิว จังหวัดซางะ ประเทศญี่ปุ่น

แต่ละวัน “เกนไก” จะมีผู้มาเยือนเฉลี่ยประมาณ 500 คน ในปี 2009 มีเกือบ 200,000 คน ทั้งตัวแทนรัฐบาล และนักท่องเที่ยว ที่มาดูงานของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ นอกจากแผนกต้อนรับในชุดฟอร์มสดใสสีชมพูแล้ว เจ้าหน้าที่ทางเทคนิคของ “เกนไก” ในชุดป้องกันรังสีก็ต้องนำทัวร์รอบ ๆ โรงไฟฟ้า

ไม่ต่างจากโรงไฟฟ้าประเภทอื่นของญี่ปุ่น ทั้งถ่านหินลิกไนต์ และโรงไฟฟ้าพลังงานลม ที่มีแขกมาเยือนตลอดเวลา เป็น How to ให้หลาย ๆ ประเทศศึกษา และที่สำคัญเป็น Show Case ให้ประเทศคู่ค้าสนใจสั่งซื้ออุปกรณ์และการก่อสร้างโรงไฟฟ้า จนถือเป็นสินค้าส่งออกมูลค่าสูงที่สำคัญของญี่ปุ่น ซึ่งรวมทั้งประเทศไทย ที่ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มเป้าหมายของญี่ปุ่น

จากประสบการณ์ในสายพลังงานมานานกว่า 40 ปีของ “สุพิณ ปัญญามาก” อดีตผู้บริหารการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และปัจจุบันเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารสาธารณะ สำนักพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์บอกว่า ประเทศญี่ปุ่นสามารถสร้าง Positioning ตัวเองได้ชัดเจนในการเป็นผู้ส่งออกสินค้าพลังงาน และหลายประเทศใช้เป็นตัวอย่าง รวมทั้งประเทศไทย จาก 2 องค์ประกอบหลักคือ

1.เป็นประเทศที่สามารถกระจายการใช้พลังงานเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าได้เหมาะสม เช่น ถ่านหิน ลิกไนต์ พลังน้ำ ลม นิวเคลียร์ เฉลี่ยประเภทละ 25% ซึ่งเป็นการลดความเสี่ยงเมื่อเชื้อเพลิงใดขาดแคลน แม้บางอย่างจะมีความเสี่ยงอย่างนิวเคลียร์ แต่ญี่ปุ่นก็ไม่มีทางเลือกด้วยทรัพยากรอื่นมีจำกัด และเป็นเมืองหนาวที่จำเป็นต้องมีพลังงานเพียงพอ หรือแม้แต่พลังงานลมที่ผลได้ไม่คุ้ม แต่ญี่ปุ่นก็หวังในเรื่องของการขายเทคโนโลยีมากกว่า

2.การจัดการในการสร้างความยอมรับ โดยเฉพาะกับชุมชนรอบพื้นที่โรงไฟฟ้า ที่แม้จะไม่ได้รับการยอมรับ 100% แต่ก็ถือเป็นประเทศที่มีวิธีที่น่าสนใจ

ญี่ปุ่นได้ใช้ 3T คือ Truth คือการให้ข้อมูลความจริง Transparency ความโปร่งใสของการก่อสร้าง ความมีส่วนร่วมของชุมชน และ Trust ความเชื่อมั่นต่อการบริหารจัดการในความปลอดภัย

เจ้าหน้าที่ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เกนไก เล่าว่านอกจาก 3T แล้วรัฐบาลท้องถิ่นต้องพูดคุยกับชุมชนโดยรอบ และนำรายได้จากการขายไฟฟ้าส่วนหนึ่งสมทบกองทุนความเสี่ยงในการประมง และช่วยเหลือประชาชน นอกเหนือจากนี้โรงไฟฟ้าเองยังจัดสร้างอาคารเพื่อให้ประชาชนในพื้นที่โดยรอบโรงไฟฟ้ารัศมีประมาณ 5 กิโลเมตรมาใช้ประโยชน์ มีการปรับปรุงโรงเรียนโดยรอบ

แม้ระบบการจัดการ 3T จะทำอย่างเป็นระบบ แต่ทั้งหมดใช้เวลาหลายปีกว่าจะสามารถสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ได้

บทเรียนของญี่ปุ่นเป็นสิ่งที่ “สุพิณ” บอกว่า ประเทศไทยสามารถนำมาปรับใช้ โดยเฉพาะระบบการบริหารชุมชนรอบพื้นที่ ซึ่งกลยุทธ์การพีอาร์กับชุมชนในพื้นที่นี้ ถือเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจสำหรับธุรกิจอื่นๆ ที่ต้องเข้าไปสร้างโรงงานในพื้นที่ที่จะมีผลกระทบต่อชุมชนโดยรอบ

สำหรับประเทศไทยแนวคิดเรื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เริ่มมาตั้งแต่ปี 2509 มีการล้มและฟื้นแผนแล้วหลายครั้ง และล่าสุดรอคณะรัฐมนตรีอนุมัติเลือกพื้นที่ก่อสร้าง 3 ในจำนวน 5 จังหวัด คือจ.ตราด จ.สุราษฎร์ธานี ใน 2 อำเภอคือท่าชนะ และไชยา จ.ชุมพร จ.นครสวรรค์ ท่าตะโก และจ.อุบลราชธานี ด้วย

หลายปีที่ผ่านมาทีมงานของ “สุพิณ” จึงพยายามเล่าข้อมูลผ่านสื่อถึงข้อดีของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และการเข้าถึงผู้นำของกลุ่มสังคมต่างๆ ตั้งแต่ผู้นำชุมชน สื่อ โดยเฉพาะวิทยุชุมชน ไปจนถึงพระสงฆ์ รวมไปถึงการทำโพลผ่านรายการ เรื่องเล่า เสาร์-อาทิตย์ ของ “สรยุทธ สุทัศนะจินดา”

“สุพิณ” บอกว่า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ยังมีภาพที่เป็นบาดแผลลึกโดยเฉพาะเมื่อปี 2529 ที่เชอร์โนบิล สหภาพโซเวียต หรือยูเครนในปัจจุบัน เป็นเหตุการณ์ที่ยากจะลืม เพราะมีผู้เสียชีวิตทันที 31 คน และบาดเจ็บจากกัมมันตภาพรังสี 203 คน ต้องอพยพผู้คนจากพื้นที่รัศมี 30 กิโลเมตร นอกจากนี้ยังมีเรื่องความรู้สึกไม่ไว้วางใจมาตรฐานแบบไทยๆ ว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ในการดูแลโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ดังนั้นเรื่องนี้สำหรับเมืองไทยจึงไม่ใช่เรื่องง่าย และคงต้องใช้เวลาอีกนาน

แหล่งพลังงานของการผลิตไฟฟ้า
ไทย
ก๊าซธรรมชาติ 70.91%
ถ่านหินลิกไนต์ 11%
พลังงานทดแทน 1.8%
น้ำมันเตา 0.32%
พลังน้ำ 4.2%
ซื้อไฟฟ้าจากเพื่อนบ้าน (ลาวและมาเลเซีย) 3.87%
ญี่ปุ่น
ถ่านหินลิกไนต์ 25%
พลังน้ำ 25%
ก๊าซธรรมชาติ 25%
นิวเคลียร์ 25%