“แสนสิริ” เปิดแผนคอนโดฯ ปี 2565 ลุยต่อโครงการระดับ “เข้าถึงได้” ปูพรมแบรนด์ “คอนโดมี” คอนโดฯ ชานเมืองราคาเริ่มต่ำ 1 ล้าน 5 ทำเล และ “เดอะ มูฟ” ราคาเริ่มต่ำกว่า 2 ล้าน เกาะพื้นที่ใกล้รถไฟฟ้า พร้อมฟื้นตลาดแบรนด์ “เดอะ เบส” 5 ทำเลทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
เป็นอีกหนึ่งปีที่ “แสนสิริ” จะเน้นตลาดระดับ Affordable หรือกลุ่มราคาเข้าถึงได้ ด้วยแบรนด์ใหม่ที่เปิดตัวเมื่อปีก่อนและได้ผลตอบรับที่ดี
“องอาจ สุวรรณกุล” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงผลการดำเนินการปี 2564 ก่อนว่า พอร์ตคอนโดฯ แสนสิริสามารถทำยอดพรีเซลได้ 11,100 ล้านบาท สูงกว่า 1% จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ และมียอดโอน 14,200 ล้านบาท สูงกว่า 10% จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ ถือว่าผลงานเป็นที่น่าพอใจท่ามกลางสภาพตลาดคอนโดฯ ปีก่อนซึ่งไม่ใช่จังหวะขาขึ้น
โดยกุญแจสำคัญที่ทำให้คอนโดฯ แสนสิริปีก่อนทำยอดขายได้ดี มาจากการเปิดคอนโดฯ ระดับเข้าถึงได้ 2 แบรนด์ใหม่ คือ เดอะ มูฟ (The Muve) คอนเซ็ปต์คอนโดฯ ใกล้เมือง ใกล้รถไฟฟ้า ในราคาเริ่มต้นต่ำกว่า 2 ล้านบาท และ คอนโดมี (Condo Me) เป็นคอนโดฯ ใกล้แหล่งงานย่านชานเมือง ในราคาเริ่มต่ำกว่า 1 ล้านบาท และเป็นคอนโดฯ แบบสร้างเสร็จก่อนขาย พร้อมอยู่ได้ทันที
ปีก่อนมีเดอะ มูฟ 2 โครงการที่ปิดการขาย Sold Out สำเร็จคือ ทำเลเกษตรและราม 22 ส่วนคอนโดมี นวนคร เฟส 1 ก็สามารถ Sold Out ได้เช่นกัน
ทำให้ปีนี้แสนสิริจะสานต่อแผนธุรกิจคอนโดฯ ที่เจาะกลุ่มเรียลดีมานด์เหล่านี้เป็นเรือธงอย่างต่อเนื่อง
เปิดคอนโดฯ ราคาไม่สูง ตอบโจทย์คนซื้ออยู่จริง
องอาจกล่าวต่อว่า สำหรับแผนคอนโดฯ แสนสิริปี 2565 จะเปิดตัว 18 โครงการ มูลค่ารวม 11,000 ล้านบาท โดยแบ่งสัดส่วน ดังนี้
- 60% หรือ 12 โครงการ เป็นกลุ่มราคาเข้าถึงได้ แบรนด์เดอะ มูฟ, คอนโดมี, ดีคอนโด และแบรนด์ใหม่ “เฮย์” (HAY)
- 20% หรือ 4 โครงการ เป็นกลุ่มราคาระดับกลาง แบรนด์เดอะ เบส และเดอะ ไลน์
- 20% หรือ 2 โครงการ เป็นกลุ่มราคาระดับพรีเมียม โดยยังไม่ประกาศแบรนด์
รายละเอียดแบรนด์และโครงการไฮไลต์ที่จะเปิดตัวและเปิดเผยได้ ได้แก่
- คอนโดมี กระจายเป็น 5 ทำเล โดยเลือกพื้นที่ที่ใกล้กับแหล่งงาน รัศมีไม่เกิน 5 กม. และใกล้กับตลาด ชุมชน มีทำเลที่จะเปิดตัว เช่น นวนคร (เฟสใหม่), บางพลี, สมุทรสาคร ที่บอกได้ เปิดมาในราคาเริ่มต้นต่ำกว่า 1 ล้านบาท
- เฮย์ แบรนด์ใหม่ในพอร์ต เป็นคอนโดฯ ตากอากาศในระดับราคาเข้าถึงได้ เจาะกลุ่มลูกค้าทั้งคนที่สนใจมีคอนโดฯ ตากอากาศราคาไม่แพงและคนทำงานในพื้นที่ที่ต้องการที่อยู่อาศัย เริ่มแห่งแรกที่ “เฮย์ หัวหิน” และจะมีการกระจายทำเลต่อไปใน เชียงใหม่ ขอนแก่น และ หาดใหญ่
- เดอะ เบส จะกลับมาเปิดตัวใหม่ 5 โครงการรวด โลเคชันแรกที่เชียงใหม่กับ “เดอะ เบส ไฮท์ เชียงใหม่” เตรียมเปิดกลางเดือนมีนาคมนี้ ราคาเริ่ม 2.39 ล้านบาท และในกรุงเทพฯ เช่น “เดอะ เบส ริเวอร์วิว” ทำเลใกล้ไอคอนสยาม และ “เดอะ เบส สุขุมวิท 71”
- เดอะ ไลน์ โครงการร่วมทุนกับ BTS เตรียมเปิด “เดอะ ไลน์ ไวบ์” ทำเล 300 เมตรจาก BTS ห้าแยกลาดพร้าว ราคาเริ่ม 3.29 ล้านบาท ต่อยอดความสำเร็จจาก เดอะ ไลน์ พหลโยธิน พาร์ค ซึ่งขายและโอนแล้ว 90%
ด้านการตั้งเป้าพรีเซลปี 2565 อยู่ที่ 14,000 ล้านบาท สูงจากปีก่อน 26% และวางเป้าโอน 13,000 ล้านบาท (รวมโครงการ JV)
จับมือแบงก์แน่น ลุยให้ลูกค้าได้โอน
สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ปีนี้ องอาจมองว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว และมีดัชนีหลายตัวที่ชี้ว่าเศรษฐกิจจะเป็นบวกและทำให้อสังหาฯ ดีขึ้น เช่น อัตราการฉีดวัคซีนอย่างน้อย 2 โดสของคนไทยเกิน 85% ทำให้ผู้เสียชีวิตน้อยลง, การท่องเที่ยวฟื้นตัวทั้งจากชาวต่างชาติและคนไทยเที่ยวในประเทศ รวมถึงการลงทุนภาครัฐที่ไม่ลดลง
อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มคอนโดฯ Affordable ที่แสนสิริมุ่งเป้า องอาจยอมรับว่าเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาค่าครองชีพสูง โดยเฉพาะคอนโดมีที่มีราคาต่ำ แต่กลุ่มลูกค้านี้เป็นกลุ่มเรียลดีมานด์ที่มีความต้องการที่อยู่อาศัย ทำให้บริษัทพยายามกดราคาให้ต่ำเท่าที่ทำได้เพื่อให้ลูกค้าได้มีบ้าน และมีการเจรจากับธนาคารพันธมิตรเพื่อให้โปรแกรมการกู้สินเชื่อบ้านของลูกค้าผ่อนคลายที่สุด
เราพยายามคุยกับแบงก์ตลอดเพื่อให้แบงก์ปล่อยวงเงินกู้ให้ได้มากที่สุด กู้ได้ 100% และขยายเวลาให้สูงเพื่อให้ลูกค้าผ่อนต่อเดือนได้ถูกที่สุด
“เราพยายามคุยกับแบงก์ตลอดเพื่อให้แบงก์ปล่อยวงเงินกู้ให้ได้มากที่สุด กู้ได้ 100% และขยายเวลาให้สูงเพื่อให้ลูกค้าผ่อนต่อเดือนได้ถูกที่สุด” องอาจกล่าว “และเราก็คุยกับลูกค้า ทำให้ทราบว่าลูกค้าบางรายอาจไม่มั่นใจในการกู้สินเชื่อ เราจะแนะนำให้แบงก์เข้ามาพูดคุยพรีแอพพรูฟกับลูกค้าก่อน เพื่อลดขั้นตอนการจองไปแล้วโอนไม่ได้ หรือถ้าลูกค้าแก้ไขการเดินบัญชีได้ อาจใช้เวลาอีก 3 เดือนเพื่อไปปรับปรุงเรื่องหนี้ได้ทันเวลาโอน เราก็จะพยายามช่วย”
ภาพรวมปี 2565 แสนสิริจึงยังมอง “เรียลดีมานด์” ลูกค้าซื้ออยู่เองเป็นหลัก ขณะที่ลูกค้านักลงทุนอาจจะมีบ้างแต่น้อยกว่าช่วงก่อนเกิดโรคระบาด เพราะส่วนใหญ่นิยมลงทุนในคอนโดฯ ระดับกลาง และจะได้ผลตอบแทนที่ดีจากการปล่อยเช่าให้กับชาวต่างชาติ ดังนั้น หากสถานการณ์ชาวต่างชาติเข้าประเทศยังไม่กลับมาเต็มที่ นักลงทุนจึงยังลังเลที่จะลงทุน