สหรัฐฯ เล็งเก็บภาษี ‘มหาเศรษฐี’ ขั้นต่ำ 20% ย้ำคนรวยต้องจ่ายภาษีมากกว่า ‘ครู’

ในปีที่ผ่านมา รายงานฉบับล่าสุดของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่า คนร่ำรวยระดับ top 1% ของอเมริกา ไม่ได้จ่ายภาษี 163,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่คนร่ำรวยระดับ top 5% ก็ไม่ได้จ่ายภาษีเป็นมูลค่า 307,000 ล้านดอลลาร์ รายได้ที่สูญเสียไปทำให้รัฐบาลมีแผนจะกำหนด ภาษีขั้นต่ำ ของเหล่ามหาเศรษฐีให้อยู่ที่ 20%

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีแผนจะเสนอภาษีขั้นต่ำใหม่ที่จะเริ่มใช้ในปี 2023 โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ เหล่ามหาเศรษฐี โดยเรียกว่า ภาษีเงินได้ขั้นต่ำของมหาเศรษฐี โดยจะประเมินอัตราภาษีขั้นต่ำที่ 20% สำหรับครอบครัวที่มีรายได้มากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมีประมาณกว่า 700 ครอบครัว และภาษีนี้ยังตั้งเป้ากำไรที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงในมูลค่าสินทรัพย์สภาพคล่อง เช่น หุ้น ซึ่งไม่ต้องเสียภาษีจนกว่าจะขาย

“ภาษีขั้นต่ำนี้จะช่วยให้แน่ใจว่าคนอเมริกันที่ร่ำรวยที่สุดจะไม่จ่ายภาษีในอัตราที่ต่ำกว่าครูและนักดับเพลิงอีกต่อไป”

ทั้งนี้ ผลการศึกษาของรัฐบาลพบว่า ระหว่างปี 2010-2018 เศรษฐีระดับพันล้านราว 400 ครัวเรือน เสียภาษีเฉลี่ยแค่ 8.2% ของรายได้ ซึ่งถือว่า ต่ำกว่าครัวเรือนชาวอเมริกันอีกมากมาย ซึ่งการจัดเก็บภาษีที่เสนอนี้ คาดว่าจะเพิ่มรายได้ประมาณ 3.6 แสนล้านดอลลาร์ใน 10 ปีข้างหน้า

นักวิเคราะห์มองว่า แผนการนี้จะเปลี่ยนแปลงการเสียภาษีของเหล่าเศรษฐีพันล้านสหรัฐฯ ตามการคำนวณของกาเบรียล ซุคแมน นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเบิร์กลีย์ ระบุว่า อีลอน มัสก์ ต้องจ่ายภาษีเพิ่ม 5 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วน เจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้งอเมซอน ต้องจ่ายเพิ่มราว 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์

ในปีงบประมาณ 2021 การขาดดุลของรัฐบาลกลางมีมูลค่าเกือบ 2.8 ล้านล้านดอลลาร์ แต่น้อยกว่าในปี 2020 ประมาณ 3.6 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วหลังการระบาดยังเป็นปัจจัยในการลดการขาดดุลอีกด้วย โดยทำเนียบขาวให้เครดิตกับแผนการกู้ภัยของอเมริกา ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อสนับสนุนการบรรเทาทุกข์แก่ชาวอเมริกันในช่วงวิกฤตโควิด ซึ่งช่วยให้เศรษฐกิจเติบโต 5.7% ในปี 2021

Source