Tata Motors ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่มียอดขายสูงสุดในอินเดีย เปิดเผยว่า ต้นทุนการผลิต ‘แบตเตอรี่’ ปรับเพิ่มขึ้นกว่า 20% เนื่องจากราคาวัตถุดิบที่พุ่งสูงขึ้นทั่วโลก ซึ่งส่วนใหญ่คือราคาของลิเธียม โดยคาดว่าจะสร้างแรงกดดันให้กับบริษัทได้ ‘ในระยะสั้น’
ราคาแบตเตอรี่ปรับตัวสูงขึ้นตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และคาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปอีกประมาณ 1 ปี
“ผลกระทบที่เกิดขึ้นทันทีในตอนนี้ คือต้นทุนแบตเตอรี่ที่ปรับสูงขึ้นประมาณ 20% ซึ่งจะสร้างแรงกดดันระยะสั้น โดยปัญหานี้จะบรรเทาลงสู่ระดับปานกลางได้ภายในเวลา 1 ปี จากนั้นก็จะค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ” Shailesh Chandra ประธานฝ่ายธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าของ Tata Motors กล่าวกับ Reuters
อย่างไรก็ตาม Chandra ไม่ได้ให้ความคิดเห็นว่าปัญหานี้จะส่งผลกระทบต่อยอดขายหรือความสามารถในการทำกำไรของบริษัทหรือไม่ แต่กล่าวว่า ความต้องการใน “รถยนต์ส่วนบุคคลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” นั้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และเขาหวังว่าส่วนนี้จะช่วยชดเชยต้นทุนบางส่วนได้ ด้วยการเพิ่มการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศในการประกอบรถยนต์ของบริษัท
ผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลก กำลังเผชิญกับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของราคานิกเกิล โคบอลต์ และลิเธียมที่ใช้ในการผลิตแบตเตอรี่
นักวิเคราะห์ มองว่า ผลกระทบจากการรุกรานยูเครนของรัสเซียจะทำให้ราคาเเบตเตอรี่สูงขึ้น ซึ่งสวนทางกับความพยายามที่จะทำให้ถูกลง เพื่อให้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) เข้าถึงคนหมู่มากเเละเป็นที่ยอมรับในวงกว้างมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดที่อ่อนไหวต่อราคาอย่างอินเดีย
ตลาดรถ EV ของอินเดียยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น โดยยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าคิดเป็นเพียง 1% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดเท่านั้น
ทั้งนี้ Tata Motors ครองส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในอินเดียมากกว่า 90% คาดว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของบริษัทจะเติบโตมากกว่าสี่เท่าในปีงบประมาณนี้ จากยอด 4,200 คันในปีที่แล้ว
- ‘BYD’ บิ๊กรถยนต์ไฟฟ้าจีน ปรับขึ้นราคา EV รับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น
- ส่องกระแส ‘รถยนต์ไฟฟ้า’ บนโซเชียล รับนโยบายแพ็กเกจรถ EV
ที่มา : Reuters