A&W เปลี่ยนลุค เอาใจวัยใส

ดูเหมือนจะเป็นโจทย์ใหญ่ของแบรนด์เก่าอายุหลายสิบปี ทำอย่างไรจึงจะครองใจลูกค้าคนรุ่นใหม่ๆ เพื่อมาทดแทนลูกค้าหน้าเก่าที่เริ่มโรยราไป เหมือนอย่างที่ A&W แบรนด์ QSR ที่มีอายุอานามมากที่สุดในสหรัฐอเมริกากว่า 93 ปี และเป็น QSR แบรนด์แรกในญี่ปุ่นกำลังต้องทำในเวลานี้ เพื่อลบล้างความเป็นแบรนด์ที่เก่าแก่ คร่ำครึในสายตาเด็กและวัยรุ่น แถมยังต้องต่อสู้กับคู่แข่ง QSR ที่แซงหน้าไปแล้วหลายช่วงตัว

A&W จึงต้องจัดหนัก นำเครื่องดื่มคู่แบรนด์ A&W ตั้งแต่ในอดีตที่คู่แข่งไม่มีอย่าง “รูทเบียร์” มาจัดเป็นเทศกาล ใช้ชื่อว่า “รูทเบียร์ เฟสติวัล 2011” และยังมี The Great Route Bear มาสคอตที่มีอายุกว่า — ปี มาช่วยสร้างตอกย้ำมากขึ้น ส่วนภายในร้าน ใหม่ด้วยสีสันสดใส โทนส้ม เหลืองมากขึ้น ลดโทนเคร่งขรึมของสีน้ำตาลลงพร้อมด้วยลวดลายกราฟิกน่ารัก มาเป็นเครื่องมือในการเข้าถึงกลุ่มเด็กและวัยรุ่น ฐานลูกค้าใหม่

“เราต้องการ Re-Introduce แบรนด์เอแอนด์ดับบลิวกับกลุ่ม Young Generation รวมถึงเด็กๆ อายุตั้งแต่ 5-20 ปี จากปัจจุบันลูกค้าส่วนใหญ่อายุ 20 ปีขึ้นไป มีสัดส่วน 30%” ฮานิซา โรส นาซารูด์ดิน ผู้จัดการทั่วไป พัฒนากลุ่มธุรกิจ บริษัท KUB จากประเทศมาเลเซียผู้ถือลิขสิทธิ์แฟรนไชส์เอแอนด์ดับบลิวในไทยและมาเลเซีย บอก

ส่วนเมนู ก็ต้องเพิ่มความหลากหลาย ทั้งคาวหวานโดยมีวาฟเฟิลยืนพื้น บวกกับเมนูใหม่ๆ เอาใจคนไทย และแข่งขันกับ QSR อื่นๆ ที่มีเมนูให้เลือกหลายกหลาย เช่น เบอร์เกอร์ปลาและกุ้ง วาฟเฟิล วาฟเฟิลแซนด์วิชไก่ทอด วาฟเฟิลแซนด์วิชปลาทอด และยังมีเมนูข้าว อาทิ ข้าวไก่ทอดซอสเทอริยากิ ข้าวไก่ย่างซอสกะเพรา โดยเมนูยอดนิยม 3 อันดับแรก คือ วาฟเฟิล หอมทอด และมอสซ่า เบอร์เกอร์ และมี Signature Menu ที่ต่อยอดจากวาฟเฟิลมาใช้แทนแป้งเบอร์เกอร์ ซึ่งไม่มีจำหน่ายใน QSR อื่น

สาขาของ A&W ถือว่าเป็นจุดอ่อน มีสาขาเพียง 41 สาขาทั่วประเทศ และมี 24 สาขา ตั้งอยู่ในสถานีบริการน้ำมันทั้ง ปตท. ปิโตรนาส และเชลล์ ส่วนสาขากลางเมืองที่เป็น Prime Location ยังคงมีเพียงสยามสแควร์ ซึ่งเป็นสาขาแรกของเอแอนด์ดับบลิวมาตั้งแต่ปี 2532 ขณะที่เชียงใหม่และภูเก็ตก็เป็นโลเกชั่นที่น่าสนใจที่จะวางแผนขยายสาขาต่ อไป

ในปี 2554 นี้ A&W จึงต้องควักงบการตลาด 50 ล้านบาท และตั้งเป้าเปิดครบ 100 สาขาใน ปี 2558 จากปัจจุบันมี 41 สาขา โดยสัดส่วนสาขาในกรุงเทพฯ กับต่างจังหวัดเป็น 80 : 20 และคาดว่าจะมียอดขาย 1,000 ล้านบาทในปีนั้นด้วย

แต่งองค์ทรงเครื่องแล้ว แต่ A&W ยังมีโจทย์ใหญ่รออยู่ ใครจะเป็นเจ้าของคนต่อไปของ A&W หลังจากที่ยัม แบรนด์ อิงค์ได้ออกมาเร่ขายเอแอนด์ดับบลิว รวมถึงลอง จอห์น ซิลเวอร์ส (แบรนด์ที่ซื้อมาตั้งแต่ปี 2545) เมื่อต้นปี 2554 ที่ผ่านมา เนื่องจากต้องการโฟกัสเฉพาะเคเอฟซี พิซซ่า ฮัท และ ทาโค เบล ซึ่งเป็น Global Brand และทั้ง 2 แบรนด์ดังกล่าว เติบโตช้าและไม่แข็งแกร่งในตลาดนอกสหรัฐอเมริกา ซึ่งไม่เป็นไปตามเป้าหมายของบริษัทฯ

แบรนด์ที่ครั้งหนึ่งในยุค 70’s เคยมีสาขามากกว่าแมคโดนัลด์จะมีทิศทางใดต่อไป อีกไม่นานก็ได้รู้กัน