อินโดฯ ห้ามส่งออก ‘น้ำมันปาล์ม’ ทุกประเภท สะเทือนตลาดโลก

Photo : Shutterstock
รัฐบาลอินโดฯ สั่งห้ามส่งออกน้ำมันปาล์มทุกประเภทหลังเกิดปัญหาขาดเเคลนในประเทศ สร้างความวิตกต่อตลาดโลกที่ราคาพุ่งแตะจุดสูงสุดแล้ว

อินโดนีเซีย กำลังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนน้ำมันสำหรับประกอบอาหารภายในประเทศ จนทำให้ราคาขายในตลาดพุ่งสูงขึ้น ผู้บริโภคในหลายเมืองต้องรอนานเป็นชั่วโมงเพื่อต่อคิวซื้อสินค้าจำเป็น

โดยรัฐบาลจะขยายมาตรการระงับการส่งออกน้ำมันปาล์ม เป็นห้ามการส่งออกผลิตภัณฑ์จากน้ำมันปาล์มทุกประเภท ทั้งน้ำมันปาล์มดิบ (CPO), น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ (RPO), น้ำมันปาล์มโอเลอิน (RBD), น้ำมันทิ้งจากกระบวนการผลิตน้ำมันปาล์ม (POME) และน้ำมันปรุงอาหารที่ใช้แล้ว รวมถึงปาล์มดิบด้วย หลังจากที่ก่อนหน้านี้เคยประกาศว่าจะระงับการส่งออกเฉพาะผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มโอเลอินเท่านั้น

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว สอดคล้องกับการตัดสินใจของประธานาธิบดี หลังจากได้พิจารณาข้อเสนอแนะและความคิดเห็นจากประชาชนเเล้ว” 

โดยรัฐบาลจะให้ความสำคัญกับการจัดสรรปริมาณน้ำมันพืชให้เพียงพอต่อประชากร 270 ล้านคนเป็นลำดับแรก

ประธานาธิบดี Joko Widodo กล่าวว่า อินโดนีเซียเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันปาล์มรายใหญ่ที่สุดของโลก เเต่กลับประสบปัญหาขาดแคลนน้ำมันพืชที่ใช้ประกอบอาหาร

โดยรัฐบาลวางแผนกลับมาส่งออกน้ำมันปาล์มอีกครั้ง หากราคาน้ำมันปาล์มในประเทศลดลงเหลือลิตรละ 14,000 รูเปียห์ จากที่ตอนนี้ราคาน้ำมันปาล์มในประเทศพุ่งขึ้นไปที่ลิตรละ 26,000 รูเปียห์ ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ อินโดนีเซียเป็นผู้ผลิตน้ำมันปาล์มคิดเป็น 60% ของปริมาณทั้งหมดในตลาดโลก โดยมีอินเดีย จีน สหภาพยุโรปและปากีสถาน เป็นประเทศนำเข้าน้ำมันปาล์มรายใหญ่จากอินโดนีเซีย

AFP รายงานว่า ปัญหาขาดแคลนน้ำมันปาล์มในอินโดนีเซีย ยืดเยื้อมานานหลายเดือน อันเป็นผลมาจากกฎหมายที่ไม่รัดกุมและความไม่เต็มใจของผู้ผลิตน้ำมันปาล์ม ที่ไม่อยากนำสินค้าวางขายในประเทศ เเต่ไปเน้นส่งออกไปขายต่างประเทศแทน เพราะเป็นช่วงที่ราคาน้ำมันพืชในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้น ซึ่งทำให้ผู้ผลิตได้กำไรมากกว่า

ขณะเดียวกัน วิกฤตรัสเซียยูเครนก็มีส่วนทำให้ราคาน้ำมันพืชพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงไม่กี่สัปดาห์มานี้

โดยธนาคารโลก ได้เตือนถึงวิกฤตราคาอาหารเเละพลังงานพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 50 ปี นับตั้งแต่ทศวรรษ 1970 ซึ่งครัวเรือนยากจนเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากพวกเขาต้องแบ่งรายได้มาใช้สำหรับค่าอาหารและพลังงานมากขึ้น

 

ที่มา : Reuters , AFP