ผู้บริหารระดับสูงของ ‘ฟอร์ด’ (Ford) ชี้ว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกกำลังเผชิญกับสงครามราคาครั้งใหญ่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เนื่องจากต้นทุนรถยนต์ไฟฟ้าลดลง และบริษัทหลายแห่งจะเริ่มขายรถอีวีในราคาประมาณ 25,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 825,000 บาท
Jim Farley ซีอีโอ ฟอร์ด กล่าวว่า ต้นทุนของรถยนต์อีวีเริ่มลดลงเรื่อย ๆ โดยต่อไปจะอยู่ที่ราว 18,000 ดอลลาร์สหรัฐ/คัน หรือราว 600,000 บาท ส่วนราคาขายจะอยู่ที่ราว 25,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 825,000 บาท ดังนั้น เชื่อว่าในอีก 4-5 ปีข้างหน้า อุตสาหกรรมของเรากำลังเผชิญกับสงครามราคาครั้งใหญ่อย่างแน่นอน
Farley ตั้งข้อสังเกตว่า ปัจจุบันมีต้นทุนค่าใช้จ่ายในการสร้างผลิตรถยนต์อีวีมากกว่าเครื่องยนต์สันดาป อย่าง ฟอร์ด มัสแตง มัค-อี เอสยูวีไฟฟ้า ของบริษัท ซึ่งมีราคาเริ่มต้นที่ 44,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแพงกว่าฟอร์ด เอสยูวีที่ใช้น้ำมันที่มีราคาเริ่มต้นราว 25,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดยแค่ค่าใช้จ่ายแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียวคือ 18,000 ดอลลาร์สหรัฐ และเครื่องชาร์จเพิ่มอีก 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ
แต่การลดต้นทุนครั้งใหญ่มาพร้อมกับเคมีภัณฑ์แบตเตอรี่แบบใหม่ที่ใช้โลหะมีค่าที่มีราคาแพงและหายากน้อยลง เช่น นิกเกิลและโคบอลต์ นอกจากนี้ รถอีวียังใช้เวลาและแรงงานน้อยลงในการผลิต ทำให้ประหยัดเงินได้มากขึ้น นอกจากนี้ ฟอร์ดยังวางแผนที่จะลดต้นทุนการจัดจำหน่าย ซึ่งคิดเป็นมูลค่า 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ/คัน ส่วนใหญ่เป็นการตัดค่าใช้จ่ายในการรักษาสินค้าจำนวนมากในล็อตของตัวแทนจำหน่าย และลดต้นทุนการโฆษณา
อย่างไรก็ตาม Farley คาดว่า สงครามราคากำลังเกิดขึ้นในประเทศจีน ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่าครึ่งในโลกถูกจำหน่ายในปัจจุบัน ขณะที่รถตู้ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือรถตู้ที่ผลิตโดย Wuling ผู้ผลิตชาวจีนซึ่งมีราคาประมาณ 8,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 260,000 บาทเท่านั้น