รัฐบาลไบเดนต้องการสร้างระบบนิเวศ “รถยนต์ไฟฟ้า” ให้เกิดขึ้นจริงในสหรัฐฯ ทำให้การจัดการ “สถานีชาร์จ” เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ในงบสนับสนุนของรัฐเพื่อจัดตั้งสถานีชาร์จให้เพียงพอ ไบเดนต้องการสร้างมาตรฐานสถานีให้เหมือนกับปั๊มน้ำมันปัจจุบัน เช่น ติดป้ายราคาขนาดใหญ่ ไม่บังคับสมัครสมาชิก รับการชำระเงินด้วยบัตรเครดิต
รัฐบาลสหรัฐอเมริกา นำโดย “โจ ไบเดน” กำลังเดินตามแผนสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า โดยในแง่ของการตั้ง “สถานีชาร์จ” รัฐบาลจะใช้งบสนับสนุนทั้งหมด 5 แสนหัวชาร์จ ส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ริมถนนไฮเวย์ทั่วประเทศ
สถานีที่สนับสนุนโดยรัฐจะต้องมีมาตรฐานเดียวกัน คล้ายกับที่ปั๊มน้ำมันเป็นอยู่ขณะนี้ จุดสำคัญที่ไบเดนต้องการคือ สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าจะต้อง “เปิดกว้าง” ให้กับทุกๆ คน ไม่มีการบังคับสมัครสมาชิกก่อนจึงเข้าใช้ได้ มีการใช้ระบบชำระเงินมาตรฐาน เช่น บัตรเครดิต
ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2021 รัฐบาลไบเดนประกาศเป้าหมายด้านรถยนต์ไฟฟ้า โดยต้องการให้ยานพาหนะที่ออกจำหน่ายในปี 2030 ครึ่งหนึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้า, รถไฟฟ้าฟิวเซลล์ หรือ รถปลั๊กอินไฮบริด
เมื่อจะสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า สิ่งที่ชาวอเมริกันกังวลมากที่สุดจึงเป็น “สถานีชาร์จ” ผู้ใช้จะต้องไม่มีความกังวลว่าจะหาสถานีชาร์จข้างหน้าไม่ได้จนแบตเตอรีหมด ดังนั้น รัฐบาลจึงให้การสนับสนุนสถานีชาร์จด้วย รวมถึงมีการทุ่มทุนหลายพันล้านเหรียญสหรัฐเพื่อสนับสนุนการวิจัยและติดตั้งสถานีชาร์จประเภทชาร์จเร็ว (fast charge)
ถ้าหากกฎการสร้างสถานีชาร์จที่เป็นมาตรฐานนี้สามารถเคาะร่างกฎหมายขั้นสุดท้ายออกมาได้ จะถูกนำไปใช้กับการสนับสนุนด้านโครงสร้างพื้นฐานที่เซ็นผ่านกฎหมายไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีก่อน โดยในกฎหมายฉบับนั้นมีการสนับสนุนเงินทุน 5,000 ล้านเหรียญแก่มลรัฐต่างๆ เพื่อสร้างโครงข่ายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า
“เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า เราต้องสร้างโครงข่ายสถานีชาร์จระดับชาติที่ทำให้การชาร์จรถง่ายเหมือนกับการเข้าปั๊ม” พีท บัททิกีเอก เลขานุการกระทรวงคมนาคม กล่าว
- “แสนสิริ” ประกาศเป้า Net-Zero ดูแลสิ่งแวดล้อม ติดตั้ง “EV Charger” ทุกโครงการในปี 2025
- SHARGE ติดสปีดปูพรม “หัวชาร์จ” 2,400 หัว เน้นตลาดบ้าน-คอนโด รองรับ “รถอีวี” เวฟแรก
ความคืบหน้ากฎหมายเกี่ยวกับสถานีชาร์จเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่ “ราคาน้ำมัน” พุ่งขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์ ขณะนี้ราคาน้ำมันในสหรัฐฯ ขึ้นไปแตะ 4.96 เหรียญต่อแกลลอน ไบเดนเองได้ระบุแล้วว่ารัฐบาลของเขาไม่สามารถจะดึงราคาน้ำมันลงมาได้ในระยะสั้น