OATSIDE แบรนด์นมข้าวโอ๊ตจากประเทศสิงคโปร์เปิดตัวในไทยอย่างเป็นทางการ หวังชิงส่วนแบ่งตลาดนมจากพืช เป็นทางเลือกสำหรับคนแพ้นมวัว นำร่องตลาดด้วยฟู้ดเซอร์วิสเพื่อกระตุ้นการลองชิมก่อน
ผันตัวจาก CFO แบรนด์อาหารยักษ์ใหญ่ ลุยสตาร์ทอัพ
ณ เวลานี้คงไม่มีใครไม่รู้จักตลาด Plant-based หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากพืช แต่เดิมจะมีแค่อาหาร สำหรับคนที่ต้องการหลีกเลี่ยงการทานเนื้อสัตว์ แต่ไม่ถึงกับวีแกน ตอนนี้เริ่มมีทั้งนม, ไอศกรีมที่ทำจากพืชเช่นกัน โดยไม่ใช้นมวัว แต่ใช้เป็นกลุ่มอัลมอลล์ ข้าวโอ๊ต และถั่วเหลือง เป็นต้น ตอบรับผู้บริโภคที่แพ้นมวัว
ตลาด Plant-based Milk หรือนมพืช จึงมีการเติบโตสูงมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากจะเป็นทางเลือกให้กับกลุ่มคนที่แพ้นมวัวแล้ว ยังตอบรับคนที่ต้องการดูแลสุขภาพจากการเลี่ยงไขมันจากนมวัว ตอนนี้มีทางเลือกเยอะขึ้น โดยที่ปัจจุบันตลาดนมพืชในไทย และอาเซียนเติบโตดีกว่าตลาดนมวัวเสียด้วย
ด้วยเหตุนี้เราจึงได้เห็นแบรนด์นมพืชใหม่ๆ ลงสู่ตลาดมากมาย หนึ่งในนั้นคือ OATSIDE แบรนด์นมข้าวโอ๊ตสัญชาติสิงคโปร์ เพิ่งเริ่มทำตลาดได้เพียง 2 ปีเท่านั้น เรียกว่าเป็นบริษัทสตาร์ทอัพก็ว่าได้
ปัจจุบัน OATSIDE ระดมทุนได้แล้ว 22 ล้านเหรียญสิงคโปร์ โดยปิดรอบ Pre-Series A ในเดือนธันวาคม 2563 นำโดย Proterra Investment Partners Asia เป็นบริษัทด้านการลงทุนใน private equity (เข้าซื้อหุ้นหรือลงทุนในหุ้นที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์) ที่เน้นการลงทุนใน food value chain
ส่วนนักลงทุนรายอื่นๆ ได้แก่ Commonwealth Ventures เป็นบริษัทในเครือของ Commonwealth Capital กลุ่มธุรกิจอาหาร และเครื่องดื่มของสิงคโปร์, Wee Teng Wen จาก The Lo & Behold Group เป็นกลุ่มธุรกิจบริการชั้นนำของสิงคโปร์ที่อยู่เบื้องหลังแบรนด์ต่างๆ เช่น The Warehouse Hotel, Odette และ Loof รวมถึงกิจการของครอบครัวของ Cher Wang ผู้ร่วมก่อตั้ง และประธาน VIA Technologies และ HTC Corporation
![oatside](https://positioningmag.com/wp-content/uploads/2022/06/257612.jpg)
OATSIDE ก่อตั้งโดย เบเนดิกต์ ลิม (Benedict Lim) นักธุรกิจชาวสิงคโปร์ เขาเคยดำรงตำแหน่ง Chief Financial Officer ของ Kraft Heinz Indonesia แต่ยอมทิ้งตำแหน่ง และการทำงานกับแบรนด์ยักษ์ใหญ่ระดับโลก หันมาลุยธุรกิจส่วนตัว แถมยังเริ่มต้นธุรกิจในช่วงที่ COVID-19 ระบาดทั่วโลกอีกด้วย
เบเนดิกต์เป็นคนชอบทำอาหารอยู่แล้ว ในช่วงนั้นได้เริ่มต้นทดลองทำนมโอ๊ตเองที่บ้าน โดยใช้ส่วนผสมต่างๆ และกระบวนการสกัดหลายรูปแบบเพื่อให้ได้รสชาติและเนื้อสัมผัสที่แตกต่างกัน ถือเป็นนมโอ๊ตเจ้าแรกๆ ที่มีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคแถบนี้ของโลก
หลังจากได้เงินลงทุนก็ได้เลือกเปิดโรงงานที่อินโดนีเซีย เป็นโรงงานแบบครบวงจร ที่เลือกประเทศนี้เพราะอยู่ใกล้ภูเขา มีแหล่งน้ำสะอาด ซึ่งน้ำแร่มีส่วนสำคัญอย่างมากในกระบวนการผลิตนมข้าวโอ๊ต
เบเนดิกต์ ลิม ผู้ก่อตั้ง และซีอีโอของ OATSIDE กล่าวว่า
“OATSIDE เป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพด้านอาหารที่ดำเนินธุรกิจแบบครบวงจรรายเดียวในเอเชีย เพราะเราอยากควบคุมคุณภาพให้ได้ทั้งหมด เราจึงดูแลกระบวนการผลิตทั้งหมดเอง ตั้งแต่การจัดหาส่วนผสมไปจนถึงการสกัดนมโอ๊ต และการแบ่งบรรจุ ช่วยให้เราสามารถปรับแต่งกระบวนการผลิตนมโอ๊ต และคำนึงถึงความยั่งยืน”
ทำไมต้องเลือก “นมข้าวโอ๊ต”
ถ้าถามว่าทำไมถึงเลือกที่จะทำ Plant-based Milk เบเนดิกต์บอกว่า เป็นตลาดที่ยังมีโอกาสเติบโตสูง ในอาเซียนตลาดนี้มีสัดส่วนเพียง 10% ของภาพรวมนมพร้อมดื่มทั้งหมด ส่วนในไทยมีสัดส่วน 30% จากตลาดนมพร้อมดื่มที่มีมูลค่า 44,000 ล้านบาท โดยที่นมพืชมีการเติบโตเฉลี่ยปีละ 5% แต่นมวัวไม่มีการเติบโต
ส่วนที่เลือกนมข้าวโอ๊ตแบบเฉพาะเจาะจงอยู่สินค้าเดียว เพราะมองว่านมข้าวโอ๊ตมีความเป็นแป้งอยู่ในตัว เวลาดื่มเข้าไปมีความมัน ใกล้เคียงนมวัวที่สุด และในตัวข้าวโอ๊ตเองมีเบต้ากลูแคน ช่วยการทำงานของหัวใจ ช่วยลดคอเลสเตอรอล และช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ทั้งยังมีไขมันอิ่มตัวต่ำอีกด้วย
ประกอบกับแนวคิดเรื่องสิ่งแวดล้อม เมื่อเปรียบเทียบกับนมวัว การผลิตนมโอ๊ตของ OATSIDE ใช้พื้นที่ และน้ำน้อยลง 90% และปล่อยมลพิษน้อยลง 70% และใช้บรรจุภัณฑ์ที่ทำจากกระดาษแข็งรีไซเคิล (จากแหล่งที่ได้รับการรับรองจาก Forest Stewardship Council)
แต่ในตลาดนี้ก็ไม่หมูมากนัก แม้จะมีการเติบโตสูง แต่ก็มีคู่แข่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีการประเมินว่ามีคู่แข่งไม่ต่ำกว่า 5 แบรนด์ แต่เบเนดิกต์ไม่ได้มองแบรนด์ที่เป็น Plant-based Milk เป็นคู่แข่งโดยตรง กลับมองตลาดนมวัวเป็นคู่แข่งเสียมากกว่า เพราะอย่างแรกเลยต้องเอาชนะนมวัว ดึงดูดให้ผู้บริโภคหันมาดื่มนมพืชแทนนมวัวให้ได้ก่อน
ปัจจัยสำคัญในการเลือกดื่มยังคงเป็นเรื่องรสชาติที่ต้องถูกปาก และเรื่องราคา เพราะ Plant-based Milk มีราคาค่อนข้างสูงกว่านมวัวเฉลี่ยเป็นเท่าตัวเมื่อเทียบกับปริมาณเท่าๆ กัน นมวัวในขนาด 2 ลิตรราคา 91 บาท ในขณะที่นมพืชขนาด 1 ลิตรราคาเฉลี่ย 100 บาท
ตอนนี้ OATSIDE ได้ทำตลาด 10 ประเทศแล้ว ได้แก่ สิงคโปร์, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, ไทย, ไต้หวัน, เกาหลีใต้, ฮ่องกง, ญี่ปุ่น และเวียดนาม โดยที่ไทยเป็นประเทศที่ 6 ที่มีการทำตลาด พร้อมงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ตอนนี้ยังโฟกัสในกลุ่มประเทศในเอเชียก่อน เบเนดิกต์มองว่าอยากมีส่วนช่วยทำให้ตลาด Plant-based Milk เติบโต คาดการณ์ตัวเลขตลาดเติบโตปีละ 20% ยิ่งช่วยสร้างการรับรู้ให้กับผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น
เริ่มบุกจากคาเฟ่ กระตุ้นทดลองชิม
ในการทำตลาดในไทย OATSIDE ได้เริ่มเจาะตลาดฟู้ดเซอร์วิสก่อน หรือเข้าตามร้านคาเฟ่ ร้านกาแฟต่างๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดการทดลองชิมก่อน ตอนนี้เริ่มมีพาร์ตเนอร์ที่ใช้นม OATSIDE เป็นส่วนผสมในเครื่องดื่ม และขนมแล้ว ได้แก่ The Coffee Club, True Coffee, ไอศครีม MollyAlly, Chikalicious และ Chaen Tea
“ในการทำตลาดประเทศอื่นๆ ก็เริ่มจากกลุ่มฟู้ดเซอร์วิสก่อน ในไทยก็เช่นเดียวกัน มองว่าช่องทางนี้เป็นส่วนสำคัญในการสร้างการทดลองชิมได้ง่ายกว่า ถ้าชอบก็มาดื่มอีก ถ้าเริ่มจากช่องทางรีเทลเลยรู้สึกว่าค่อนข้างยากที่จะให้ผู้บริโภคซื้อไซส์ 1 ลิตรไปทดลองชิมก่อน”
หลังจากเข้าฟู้ดเซอร์วิสแล้ว ก็เริ่มเข้าตลาดโมเดิร์นเทรด ร้านค้าต่างๆ ปัจจุบันมีวางขายที่ฟู้ดแลนด์, วิลล่า มาร์เก็ต และท็อปส์ มีขนาดแพ็กไซส์เดียวก็คือ 1 ลิตร คาดว่าจะมีแพ็กไซส์อื่นๆ ออกมา แต่อาจจะเป็นในช่วงปีหน้า
มีทั้งหมด 3 รสชาติ ได้แก่ บาริสต้าเบลนด์ (ราคา 115 บาท), ช็อกโกแลต (ราคา 115 บาท) และช็อกโกแลต เฮเซลนัท (ราคา 130 บาท) อีกทั้งจะจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ทั้ง Shopee และ Lazada ด้วย