"Google+" หมัดน็อกปลายคาง Facebook จาก Google

สวัสดีแฟนๆ ที่ติดตามคอลัมน์ทุกคนครับ หลายท่านคงแปลกใจว่า เอ๊ะ Google ออกบริการเกี่ยวกับ Social Networking อีกแล้วเหรอ ยังไม่เข็ดกับ Google Buzz , Open Social , Orkut หรืออย่างไร อะไรเป็นเหตุจูงใจในการออกบริการ Google+ นี้ และ Google+ จะแข่งขันกับ Facebook ได้อย่างไร ลองมาติดตามกันครับ

Open Social จุดเริ่มต้นของสงคราม Platform บน Social Network
ในช่วงเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมา Google พยายามอย่างมากในการที่จะเข้าไปยังธุรกิจบริการ Social Networking ไม่ว่าจะเป็น Open Social ที่ Google สร้างขึ้นมาเป็น “Platform เปิด” เพื่อแข่งขันกับการเปิด Platform ของ Facebook ที่กำลังร้อนแรงในขณะนั้น

Open Social ใช้แนวคิดในการสร้างแอพฯ เดียวและสามารถใช้ได้กับ Social Networking ใหญ่ๆ ได้หลายตัว (Cross Social Networking Apps) ซึ่งตรงกันข้ามกับแอพฯ บน Facebook ที่จะทำงานได้เฉพาะบน Facebook อย่างเดียว

Goole เริ่มต้นสร้างความตื่นเต้นโดยเป็นพันธมิตรกับ Social Networking เบอร์ใหญ่ๆ ในยุคนั้น เช่น Bebo, Friendster, MySpace, Hi5, iMeem และให้ความช่วยเหลือนักพัฒนาในการสร้างแอพฯ และเชื่อมต่อข้าม Social Networking ต่างๆ

เป็นการโดดเดี่ยว Facebook และดึงดูดนักพัฒนาให้แปรพักตร์จาก Facebook มายัง Platform ของ Google

แต่จนถึงทุกวันนี้ Open Social ก็ยังไม่เกิด และบรรดา Social Networking คู่แข่งของ Facebook ก็ล้วนแต่อยู่ในช่วงตกต่ำย่ำแย่ สวนทางกับ Facebook ที่มีการเติบโตสูงจนยอดผู้ใช้เลยระดับ 700 ล้านคน แซงหน้า MySpace ที่ครองอันดับ 1 ของโลกมาหลายปี อย่างขาดลอย

จนล่าสุด MySpace ต้องถูก News Corp ขายทิ้งไปด้วยราคาขาดทุนยับเหลือแค่ 35 ล้านเหรียญ จากที่ซื้อมาถึง 580 ล้านเหรียญ

ทั้ง Google และพันธมิตร Social Networking ทั้งหลาย มิอาจหยุดความร้อนแรงของ Facebook ได้

ยิ่งไปกว่านั้น Facebook ในวันนี้ แข็งแกร่งมากทั้งจำนวนผู้ใช้ มีแอพฯ และเกมออนไลน์จำนวนมากที่มีผู้ใช้หลายร้อยล้านคนต่อวัน

Facebook กลายเป็นสื่อที่ทรงอิทธิพลเป็นอย่างมากสำหรับผู้ใช้อินเทอร์เน็ต เป็นมีเดียที่สำคัญที่สุดบนโลกออนไลน์ของธุรกิจทั่วโลก

แม้กระทั่ง เป็น Social Networking ที่มีอิทธิพลขนาดสามารถเปลี่ยนแปลงการปกครองในบางประเทศเลยทีเดียว

ชนวนแห่งสงครามระหว่าง Search Advertising VS Social Advertising
ด้วยความทรงอิทธิพลที่ Facebook มีบนโลกอินเทอร์เน็ต ก็ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโฆษณาออนไลน์ที่ Google ครองส่วนแบ่งการตลาดมหาศาล

โฆษณาออนไลน์บนอินเทอร์เน็ต เดิมแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ Display Ads (เช่น แบนเนอร์ต่างๆ) และ Search Advertising ที่มักจะเรียกกันในชื่อ Search Engine Marketing หรือ SEM (เช่น Google AdWords และ Google AdSense)

แต่เมื่อ Facebook เริ่มมีบทบาทสำคัญในเชิงมีเดียอย่างมหาศาล Facebook ก็ไม่พลาดโอกาสที่จะสร้างรูปแบบการโฆษณาใหม่ๆ ที่เรียกว่า “Facebook Social Ads” ขึ้นมา โดยอาศัยรูปแบบของ Display Ads แบบเดิม ร่วมกับ “Social Interaction” ของผู้ใช้ Facebook อย่างการ “Like” และ “Comment”

ข้อมูลล่าสุดจาก eMarketer ส่วนแบ่งการตลาดของ “Facebook Social Ads” ในสหรัฐอเมริกา เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี จาก 2.4% ในปี 2009 ขึ้นมาเป็น 7% ในปี 2011 โดยเป็นการแย่งมาจากชิ้นเค้กรายได้จาก Search Engine Marketing

แม้ว่าคนที่เสียส่วนแบ่งจะไม่ใช่ Google และ Microsoft แต่เป็น Yahoo! และ AOL ก็ตาม

แต่ถ้าเป็นตลาดนอกสหรัฐฯ ที่ทั้ง Yahoo! และ AOL ไม่ได้เป็นผู้เล่นรายสำคัญ

แน่นอนว่า “Facebook Social Ads” ย่อมแย่งส่วนแบ่งมาจากไม่ Google ก็ Microsoft อย่างไม่ต้องสงสัย

และถ้าแนวโน้มเป็นแบบนี้ทั่วโลก Facebook ก็จะค่อยๆ แย่งส่วนแบ่งตลาดโฆษณามาจาก Google ทีละนิดๆ รายได้ของ Google คงหดหาย และความทรงอิทธิพล อำนาจต่อรองต่างๆ ที่ Google เคยมี ก็จะถูก Shift ไปยัง Facebook แทน ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตก็จะเข้า Facebook เป็นหน้าแรกก่อน Google

จนในที่สุด ความสำคัญของ Google และบริการ Search Engine ก็จะลดน้อยลงไป

นั่นเป็นสิ่งที่ Google ยอมไม่ได้ และต้องทำทุกวิถีทางที่จะรักษา Core Business ตรงนี้พร้อมกับหาทางโต้ตอบ Facebook กลับ

เป็นที่มาของ Google Buzz และ Orkut ที่ล้วนแต่มีเป้าหมายในการแย่งชิงส่วนแบ่งด้านบริการ Social Networking ทั้งสิ้น

Google+ มีอะไรบ้าง
องค์ประกอบหลักๆ ของ Google+ คือ

0. Circles เป็นเหมือนกับ Friends List ที่เราสามารถจัดกลุ่มเพื่อนของเราได้ และจะมีผลกับการแชร์คอนเทนต์หรือสเตตัสของเรา เพราะเราสามารถเลือกได้อย่างอิสระว่าจะแชร์อะไรให้กับ “Circles” กลุ่มไหน ซึ่งต่างจาก Facebook ที่จะแชร์ให้ทุกคนที่เป็นเพื่อนของเราเห็น และถ้าจะตั้งค่าให้แชร์เฉพาะกลุ่มจริงๆ จะต้องแก้ไขค่า Privacy การแชร์ซึ่งยุ่งยากกว่าแนวคิด “Circles” ของ Google+ มาก

1. Sparks เป็นเหมือนกับ Public Timeline ในทวิตเตอร์ที่ จะรวมคอนเทนต์ที่ทุกคนที่แชร์ มาจัดหมวดหมู่ตามหัวข้อและความสนใจต่างๆ

2. Hangouts เป็นระบบ Video Chat ที่รองรับการใช้งานแบบกลุ่ม เราสามารถชวนกลุ่มเพื่อนให้มาใช้ “Hangouts” พร้อมๆ กันได้ โดยระบบนี้เป็นการนำฟีเจอร์ของ Google Talk มาใช้งาน

3. Huddles ถือเป็นฟีเจอร์ที่สำคัญของระบบ Messaging และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้บนโทรศัพท์มือถือ ที่จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดต่อกันแบบ Group Chat หรือ แชตแบบปกติ ได้ เหมือนการใช้งาน BBM ของ BlackBerry หรือว่าจะเป็น iMessage บนระบบ iOS

จะเห็นว่า Google+ ออกแบบมาเน้นการใช้งานด้านการแชร์คอนเทนต์ต่างๆ ให้กับเพื่อนเป็นรายกลุ่ม เพราะแต่ละกลุ่มหรือแต่ละคน ไม่จำเป็นต้องรับรู้เรื่องบางเรื่องของเรา ซึ่งเป็นการให้สำคัญกับความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้พอสมควร

นอกจากนี้ Google+ ยังโดดเด่นในเรื่องของเครื่องมือสื่อสารภายในเช่น Hangouts และ Huddles ที่เหนือกว่าใน Facebook มาก เพราะเป็นจุดอ่อนที่ Facebook ไม่มีเลย ซึ่งต้องยอมรับว่า Google ทำการบ้านตรงจุดนี้ได้ดีมาก

จุดแข็งของ Google+

4. แก้ไขจุดอ่อนของ Facebook ในเรื่องของ Friends Lists ด้วย “Circles” ที่สามารถตั้งค่าการแชร์ให้กับกลุ่มคนโดยเฉพาะได้อย่างง่ายดาย

5. มีเครื่องมือออนไลน์สำหรับรูปแบบคอนเทนต์ที่ครบและสมบูรณ์กว่าทั้งภาพ (Picasa) วิดีโอ (YouTube) เอกสารต่างๆ (Google Docs) ข่าวจาก RSS Feeds (Google Reader) และถ้าสามารถรวมบริการออนไลน์ทุกตัวของ Google เข้ามาใน Google+ ได้ ความโดดเด่นด้านการจัดการข้อมูลคอนเทนต์ต่างๆ จะยิ่งทิ้งห่าง Facebook มากขึ้น

6. มีฐานผู้ใช้เว็บเบราว์เซอร์อย่าง Google Chrome ที่อนาคตมีโอกาสที่จะอินทิเกรตบริการ Google+ เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ Chrome ได้เลย

7. มีฐานผู้ใช้มือถือระบบ Android ขนาดใหญ่ที่อนาคต บริการ Google+ อาจจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบปฏิบัติการเช่นกัน

8. รูปแบบของการสื่อสาร มีทั้ง Google Talk และ “Hangouts” ที่เป็น Video Chat ที่มีความสามารถสูงกว่าระบบแชตของ Facebook มาก ช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้งาน Google+ เป็น Collaborative Platform สำหรับทำงานในองค์กรได้ นอกเหนือจากการเล่นกันสนุกๆ ระหว่างผู้ใช้

9. ระบบ Group Chat บนมือถือ อย่าง “Huddles” ที่มีความสามารถไม่แพ้ BBM บน BlackBerry และ iMessage บน iOS

10. ยังมีบริการอีเมลอย่าง Gmail เรียกได้ว่า Google+ นั้น สมบูรณ์แบบในเรื่องของเครื่องมือสื่อสาร เพราะมีทั้ง Messaging มี Voice และ มี VDO ซึ่งรวมแล้วเหนือกว่า Facebook เยอะพอสมควร

จุดอ่อนของ Google+

11. เป็นบริการใหม่ที่เพิ่งเริ่มเปิดให้ทดสอบในวงจำกัด ลูกเล่นยังคงไม่เยอะเท่าไหร่

12. ยังไม่มีการเปิด API เพื่อให้นักพัฒนาสร้างแอพฯ มาเชื่อมต่อ

13. ยังขาดอิทธิพลกับธุรกิจ และกลุ่มต่างๆ ในสังคม เพราะยังไม่มีฟีเจอร์ที่คล้ายเป็น “Page” บน Facebook

Strategic Moves ของ Google

Google+ ไม่ได้เป็นบริการแยกที่ออกมาเป็น Social Networking เดี่ยวๆ แต่เป็นการต่อยอดจากฐานผู้ใช้บริการออนไลน์ทุกตัวของ Google ไม่ว่าผู้ใช้จะใช้บริการใด ก็สามารถเข้าถึง Google+ ได้ผ่าน Toolbar ที่ได้รับการออกแบบใหม่ ทำให้ทุกบริการเชื่อมโยงหากันหมด

นอกจากตัวบริการออนไลน์ที่ Google มี และแทบจะครอบคลุมการใช้งานในทุกๆ ด้านแล้ว Google ยังคงมี Platform ที่แข็งแกร่งอยู่อีก 2 ตัวที่พร้อมจะต่อยอดและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับ Google+ อีก

Google Chrome ที่มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 3 ของโลกอินเทอร์เน็ต รองจากอินเทอร์เน็ตเอ็กซ์พลอเรอร์และไฟร์ฟ็อกซ์

Android เป็น Platform ของสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์พกพาอื่นๆ ที่มีฐานผู้ใช้หลายร้อยล้าน สามารถทำมาอินทิเกรตกับ Google+ เพื่อเปลี่ยนอุปกรณ์เหล่านี้ให้กลายเป็นอุปกรณ์ Social Networking ได้ทันที

Google ใช้บริการ Google+ “ตีแสกหน้า” (Frontal Attack) ใส่ Facebook แบบเต็มๆ และยังใช้หมากอีกหลายตัวเข้าจู่โจม ซึ่ง Facebook ถือว่าเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งมาก ด้วย Platform ที่พัฒนามาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน และมีคุณค่าสูงสำหรับผู้ใช้และธุรกิจ

สิ่งที่ Google+ จะต้องทำให้ดีก็คือการนำอาวุธทุกอย่างที่ตัวเองตี มาอินทิเกรตกันแล้วสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุด ซึ่งตรงนี้มีโอกาสสูง เพราะได้มือดี ผู้ออกแบบ Mac และผู้ออกแบบ Excel ในอดีต มาช่วยออกแบบหน้าจอการใช้งาน

งานนี้น่าจับตามากครับว่า Facebook จะป้องกันการโจมตียังไง จะมีวิธีการตอบโต้กลับยังไง และ Google จะมีวิธีดึงดูดผู้ใช้ Facebook ยังไงให้ย้ายค่ายพร้อมทั้งชวนเพื่อนๆ อพยพย้ายตามกันมา