รู้จัก ‘NETA’ รถอีวีจีนรายล่าสุดที่ขอใช้ ‘ไทย’ เป็นฐานลุยตลาดอาเซียน

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จะเริ่มเห็น ‘รถอีวี’ มาบุกตลาดไทยเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะกับ ‘ค่ายจีน’ ที่เฉพาะปีนี้ก็ปาไปแล้ว 3 รายเห็นจะได้ ตั้งแต่ค่ายใหญ่ไปจนถึงค่ายเล็ก ๆ ราคาแค่ 3 แสนต้น ๆ และล่าสุด NETA ค่ายรถอีวี 100% ที่เพิ่งเผยโฉม NETA V รถรุ่นแรกที่จะมาจำหน่ายในไทยไปเมื่อช่วงต้นปี ล่าสุดก็ได้เคาะราคาเป็นที่เรียบร้อย ว่าแต่ค่ายนี้น่าสนใจขนาดไหน ไปดูกัน

สำหรับค่าย NETA AUTO หรือ บริษัท โฮซอน นิว เอนเนอร์ยี่ ออโต้โมบิล จำกัด ถือว่าเป็นสตาร์ทอัพด้านยานยนต์ไฟฟ้า 100% อีกรายของจีนที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2014 ซึ่งชื่อของบริษัท NETA มีที่มาจาก นาจา (Nezha) หนึ่งในเทพเจ้าจีนโบราณที่คนไทยน่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี

NETA AUTO ได้ระดุมทุนจากบริษัทชั้นนำหลากหลาย อาทิ Qihoo 360 (ฉีหู่) บริษัทไซเบอร์ซิเคียวริตี้เบอร์ 1 ของจีนได้ลงทุนถึง 453 ล้านดอลลาร์ ขึ้นแท่นเป็นผู้ถือหุ่นใหญ่อันดับ 2 ที่ 17% ซึ่งทาง Qihoo นอกจากลงทุนแล้วยังเข้ามาช่วยในเรื่องการพัฒนาซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ด้วย นอกจากนี้ก็มีพันธมิตรอย่าง หัวเว่ย (Huawei) บริษัทไอทียักษ์ใหญ่จีนที่คนไทยคุ้นเคยกันดี ในการพัฒนาโครงข่ายอัจฉริยะและระบบประมวลผลในรถยนต์

แม้ว่าบริษัทจะเริ่มก่อตั้งขึ้นในปี 2014 แต่รถอีวีรุ่นแรกที่ทางค่ายปล่อยออกมานั้นเกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2018 ภายใต้ชื่อรุ่น NETA No1 (เนต้า นับเบอร์ 1) รถอีวีครอสโอเวอร์ 100% จากนั้นในปี 2020 ก็ได้เปิดตัว NETA U รถ SUV ไฟฟ้า และ NETA V รถซิตี้คาร์ หรือ อีโคคาร์ และในปี 2022 นี้ ทางค่ายก็เปิดตัวรถอีวีรุ่นล่าสุด NETA S รถซีดาน

ปัจจุบันบริษัทฯ มีศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์รวม 6 แห่ง โดย 3 แห่งอยู่นอกประเทศจีน ได้แก่ เยอรมนี อิตาลี และ สหรัฐอเมริกา มีโรงงานผลิต 3 แห่ง ตั้งอยู่ในมณฑลเจ้อเจียง มณฑลเจียงซี และหนานหนิงเขตกวางสี ที่มีกำลังการผลิตรวม 250,000 คันต่อปี โดยโรงงานที่เมืองหนานหนิงจะเป็นโรงงานหลักสำหรับผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าพวงมาลัยขวาเพื่อส่งออกมายังภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก โดยมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 100,000 คันต่อปี 

ภายในระยะเวลา 4 ปี NETA AUTO มียอดจำหน่ายรถยนต์รวมกว่า 170,000 คัน โดยในปี 2021 นั้นมีเติบโตสูงกว่า 362% จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไม NETA AUTO ถึงเป็นที่น่าจับตามอง และจากการเติบโตดังกล่าว ส่งผลให้บริษัทเริ่มที่จะขยับไปสู่ตลาดโลก

เนื่องจากภูมิภาคแรกที่บริษัทต้องการทำตลาดคือ อาเซียน ทำให้ประเทศแรกที่ NETA เลือกไปก็คือ ไทย เนื่องจากไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค อีกทั้งยังสามารถส่งออกไปยังประเทศในภูมิภาคได้ฟรีโดยไม่เสียภาษี นอกจากนี้ ไทยเองก็มีความพร้อมในการผลิต อีกทั้งยังมีการสนับสนุนจากภาครัฐอีกด้วย

โดย NETA ได้จัดตั้ง บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด (Neta Auto (Thailand) Co., Ltd.) โดยมี อเล็กซ์ เป่า จ้วงเฟย (Alex Bao Zhungfei) เป็นผู้บริหารเพื่อทำธุรกิจในไทย พร้อมกับจับมือเป็นพันธมิตรกับ บริษัท อรุณ พลัส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ ปตท. ถือหุ้น 100% ให้เป็น ผู้ผลิตรถยนต์ในไทย โดยทาง NETA จะเป็นผู้ลงทุนเทคโนโลยีและชิ้นส่วนในการผลิต เบื้องต้นเซ็นสัญญากัน 2 ปี โดยคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ภายในปี 2024

ในปีแรกหลังจากเข้าทำตลาด NETA ได้ชิมลางด้วยการเปิดตัว NETA V เพื่อมาจับตลาด ซิตี้คาร์ หรือ อีโคคาร์ เนื่องจากคู่แข่งที่เป็นรถอีวียังมีน้อย โดยราคาหลังได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐจะเริ่มต้นอยู่ที่ 5.49 แสนบาท จากตอนแรกอยู่ที่ 7.6 แสนบาท

อเล็กซ์ เป่า จ้วงเฟย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด

ปัจจุบัน NETA มีดีลเลอร์ในไทย 24 แห่ง และภายในสิ้นปีคาดว่าจะเพิ่มเป็น 30 แห่ง มียอดจอง NETA V ทั้งสิ้น 3,000 คัน และภายในปีนี้ คาดว่าจะมียอดจองรวม 7,000 คัน โดย อเล็กซ์ คาดว่าจะเริ่มส่งมอบได้เร็วที่สุดในช่วงเดือนกันยายน และคาดว่าจะสามารถส่งมอบได้เดือนละ 1,000 คัน สำหรับเป้าหมายในปี 2023 อเล็กซ์หวังว่าจะเพิ่มยอดขายเป็น 10,000 คันต่อปี และจะได้เห็นรถอีวีรุ่นใหม่ ๆ ภายในปี 2024

สำหรับตัวถัง NETA V มีต้นแบบจากปลาโลมา สามารถทำความเร็วได้สูงสุด 110 – 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใช้งานมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous พละกำลัง 95 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 150 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหน้า สามารถวิ่งได้ระยะไกลสุด 384 กม. ต่อการชาร์จ โดยหากชาร์จแบบกระแสสลับ AC รองรับสูงสุด 6.6 kW ใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง ส่วนชาร์จแบบกระแสตรง DC Fast Charging รองรับสูงสุด 45 kW จาก 30-80% ใช้เวลาประมาณ 30 นาที

ห้องโดยสารรองรับได้ 5 ที่นั่ง น้ำหนักสูงสุดได้ถึง 1151 Kg มีจอควบคุมขนาดใหญ่ 14.6 นิ้ว ระบบสัมผัส มีสีให้เลือก 5 สี ได้แก่ ฟ้า Cyan, เทา Midnight Gray, ขาว White Storm, น้ำเงิน Sky Blue และ ชมพู Sakura Pink รวมถึงการรับประกันแบตเตอรี่และมอเตอร์นาน 8 ปี หรือ 180,000 กม. รับประกันคุณภาพรถ 5 ปี หรือ 150,000 กม. ฟรีค่าแรงและค่าอะไหล่เมื่อเช็กระยะ 1 ปี หรือ 10,000 กม.