บมจ. พราว เรียล เอสเตท (PROUD) แถลงกลยุทธ์ทางธุรกิจ ด้วยแนวคิด More Than Just Living โดยเน้นบุกอสังหาในตลาด Luxury ขณะเดียวกันก็ยังเน้นกระจายความเสี่ยงในด้านผลิตภัณฑ์ มาเน้นอสังหาริมทรัพย์แนวราบเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังตั้งงบในการซื้อที่ดินมากถึง 5,000 ล้านบาท
พราวพุธ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) ได้เปิดเผยถึงการพัฒนาโครงการออกแบบที่อยู่อาศัยภายใต้แนวคิด More Than Just Living นั้นประกอบด้วย 3 คุณค่า เพื่อสร้างประสบการณ์และความแตกต่างให้ลูกค้า ประกอบด้วย
- Sense Of Hospitality การดูแลเอาใจใส่ในการบริการ รวมถึงการดูแลที่มากกว่าแค่เรื่องบ้าน
- Value Of Home Being การออกแบบพื้นที่และฟังก์ชั่นเพื่อการอยู่อาศัยที่ดีที่สุดผ่านการค้นคว้าของบริษัท
- Harmonious Living การศึกษาพื้นที่และวิถีชีวิต เพื่อที่จะนำมาออกแบบโครงการต่างๆ ในสไตล์บริษัท
ก่อนหน้านี้โครงการของบริษัทอยู่นอกกรุงเทพฯ เสียส่วนใหญ่ เช่น หัวหิน แต่เธอเปิดเผยถึงกลยุทธ์การเข้ามาพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพมหานคร โดยเน้นไปยังโซนธุรกิจ (CBD) ซึ่งเธอได้ให้เหตุผลคือบริษัทได้ที่ดินในกรุงเทพมหานครช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงเป็นโอกาสในการทำธุรกิจ
เธอยังกล่าวเสริมว่า บริษัทกำลังดูตลาดหัวเมืองใหญ่ โดยเฉพาะหัวเมืองใหญ่ที่เน้นการท่องเที่ยว
พสุ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวถึงการปรับกลยุทธ์ของบริษัทที่มาเน้นอสังหาฯ แนวราบมากขึ้น และบริษัทยังเน้นพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับ Luxury บนทำเลที่มีศักยภาพ เน้นไปยังกลุ่มลูกค้ามีกำลังซื้อสูง โดยการเข้ามาทำตลาดในกรุงเทพมหานครนั้นเนื่องจากยังมีโอกาสอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพัฒนาด้านต่างๆ
เขาได้ยกตัวอย่างโครงการบ้านเดี่ยว VI ARI ซึ่งมี 6 หลัง มูลค่ารวม 507 ล้านบาท ว่าในพื้นที่อารีย์ยังมีความต้องการบ้านเดี่ยว และกลุ่มลูกค้าที่สนใจนั้นยังมี ทำให้ผลักดันโครงการนี้ออกมา นอกจากนี้เขาได้กล่าวว่าบริษัทไม่ได้ทิ้งโครงการอสังหาอย่างคอนโดมิเนียม โดยมีโครงการในซอยคอนแวนต์ที่จะสร้างคอนโดมิเนียมสูง 180 ยูนิต ซึ่งจะส่งมอบให้ลูกค้าในไตรมาส 1 ของปี 2026
ขณะเดียวกันเขาได้กล่าวว่าบริษัทเตรียมงบซื้อที่ดินในช่วง 2 ปีนี้ มูลค่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยผลักดันให้รายได้ของบริษัทเติบโตอย่างสม่ำเสมอ
ภูมิพัฒน์ สินาเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวถึงงบการเงินของบริษัทนั้นจะสามารถกลับมามีกำไรได้ ขณะเดียวกันเขาก็ได้เน้นย้ำถึงการทำธุรกิจของบริษัทจะไม่เน้นการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินมากเกินไป
ขณะที่โครงการอินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน เขากล่าวว่าจะเป็นกระแสเงินสดให้กับบริษัทในช่วงหลังจากนี้
ในสภาวะเงินเฟ้อที่กำลังเพิ่มสูงขึ้น ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฯ ได้กล่าวว่าต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจริงๆ มาจากค่าน้ำมันดีเซล และค่าเหล็ก ทำให้ต้นทุนรวมเพิ่มขึ้นไม่มาก ราวๆ 2% เท่านั้น โดยทางแก้ของบริษัทคือถ้าหากเป็นการพัฒนาคอนโดมิเนียมแนวสูงคือการล็อกราคาวัสดุก่อสร้างให้ได้มากที่สุด แต่ถ้าหากเป็นโครงการแนวราบอย่างบ้านเดี่ยวสามารถขายไปสร้างไปได้ และราคาเฉลี่ยจะสามารถหักลบกลบหนี้ได้
สำหรับความเสี่ยงของบริษัทที่เขามองมีทั้ง ความเสี่ยงของผลิตภัณฑ์ เช่น ตลาดหันมาพัฒนาโครงการในแนวราบ หรือแนวสูง รวมถึงตลาดอสังหาฯ โฟกัสตลาดในกรุงเทพ หรือแห่กันไปพัฒนาอสังหาฯ ตามต่างจังหวัด ซึ่งเขามองว่าเป็นเรื่องของวัฏจักร ซึ่งบริษัทมีการจัดการวางแผนในเรื่องนี้ ขณะที่ความเสี่ยงภายนอกเช่น สภาวะเศรษฐกิจ ฯลฯ เขามองว่าแผนการเงินของบริษัทต้องไม่มีหนี้จนเป็นภาระทางการเงินมากไป
บริษัทนั้นได้ตั้งเป้าว่าอยากจะทำให้รายได้ของบริษัทเติบโตในช่วง 4 ปีข้างหน้านี้เฉลี่ย 25% ต่อปี และมองว่าตลาดอสังหาฯ ที่เน้นกลุ่มลูกค้าระดับบนนั้นยังเติบโตได้ และบริษัทยังมีโครงการที่ยังไม่เปิดตัวไม่น้อยกว่า 4 โครงการที่กำลังศึกษา