BEAST & The Young Man

การเลือกใช้ K-pop มาเป็นเครื่องมือทางการตลาดของสินค้าได้รับความนิยมอย่งมากในช่วงหลัง เพราะอาจจะด้วยการโปรโมตของเกาหลีเอง รวมถึงการเข้ถึงข่าวสารต่างๆ ได้ง่ายขึ้น คนไทยรวมถึงคนในเอเชีย จึงรับอารยธรรมใหม่ของเกาหลีได้ไม่ยาก

เถ้าแก่น้อยเอง ก็ใช้บริการศิลปินจากเกาหลีเช่นกัน ในวง BEAST สนนราคาแบบเบ็ดเสร็จค่าตัว ค่าถ่ายทำภาพยนนรต์โฆษณา 2 ชุดใน 1 ปี เป็นเงิน ประมาณ 50 ล้านบาทซึ่งอิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อยฟู๊ด แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด บอกว่า เป็นราคาที่ถูกมาก

“เราได้วง BEAST มาเป็นพรีเซ็นเตอร์เซ็นสัญญา 1 ปี ในช่วงที่วงนี้ยังไม่ดัง กำลังเพิ่มเริ่มไต่ขึ้นมา หากเป็นตอนนี้ค่าตัวอย่างเดียวก็ 50 ล้านบาท”

หลักเกณฑ์ในการเลือกศิลปินเกาหลีของเถ้าแก่น้อยคือ ประเมินแนวโน้มของวงที่หมายตาเอาไว้ว่าจะเป็นอย่างไร ได้เพลงดี ๆ มาร้อง หรือได้รับการโปรโมตอย่างไร รวมถึงรางวัลจากการร้องเพลงในอนาคตจะได้หรือไม่

ทั้งหมดนี้ต้องพิจารณาและไตร่ตรองเอง เหมือนกับการพยากรณ์ล่วงหน้าว่าศิลปินจะเกิดหรือไม่ เพราะตอนนี้มีหลายคนพูดกันว่าศิลปินเกาหลีเกิดขึ้นทุกวัน แต่ที่ดังมีไม่กี่วงเท่านั้น

การเลือกศิลปินเกาหลีมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ มีให้เลือก 2 วงคือ BEAST ที่เป็นบอยแบนด์ กีบวง KARA ที่เป็นวงผู้หญิงล้วน

ด้วยสายตาของอิทธิพัทธ์ ที่ชั่งใจว่าจะเลือกวงผู้หญิง หรือชาย เขาก็ใช้หลักเกณฑ์ง่ายๆ ในการตัดสินใจคือ วงบอยแบนด์ แฟนเพลงที่เป็นผู้หญิงส่วนใหญ่พร้อมที่จะจ่ายเงืนดูคอนเสิร์ต และพร้อมที่จะทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้ได้ร่วมงานกับศิลปินที่ชื่นชอบ และทำแบบเต็มที่ พร้อมๆ กับสามารถขยายเครือข่ายได้อีกต่อหนึ่งด้วย

ส่วนศิลปินหญิงล้วน เขาประเมินแล้วว่าผู้ชายไม่ค่อยชอบลงทุนดูคอนเสิร์ตของวงที่ตัวเองชอบเท่าไหร่

เมื่อตัดสินใจว่าเลือกวงบอยแบนด์แล้ว ขั้นตอนสำคัญคือ การทดสอบกระแสความนิยม หรือเป็นที่รู้จักในบ้านเราหรือไม่

“ผมถามจากน้องสาวว่าวง BEAST เป็นอย่างไร ก็ได้คำตอบว่าวงนี้ดัง ถึงขนาดคลั่งไคล้เลยทีเดียว จากนั้นก็ลองเล็กกับคนอื่นบ้าง ก็ได้ความเห็นตรงกัน”

BEAST จึงกลายมาเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับสาหร่ายเถ้าแก่น้อย และภาพยนตร์โฆษณาชุดแรก อิทธิพัทธ์ก็ลงไปเล่นด้วย ซึ่งเขาให้เหตุผลที่ต้องประกบศิลปินเกาหลีว่า เถ้าแก่น้อยเป็นสินค้าของคนไทย จะปล่อยให้เกาหลียึดหนังโฆษณาไปทั้งหมดได้อย่างไร ต้องมีความเป็นไทยบ้าง ซึ่งก็คือตัวเขาเองที่แทนความเป็นไทย

ส่วนภาพยนตร์โฆษณาชุดที่สอง เขาบอกว่า ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเล่นด้วยหรือไม่ แต่ที่ชัดเจนแล้วก็คือภาพยนตร์โฆษราออกมาในแนว CSR และศิลปินเกาหลีไม่ต้องออกมาเต้น หรือออกท่าทางมากนัก เพราะทุกวงทำเหมือนกันหมด เขาต้องการความแตกต่างบ้าง