หากพูดถึงช่วงปี 2020-2021 ที่ทั่วโลกเจอกับวิกฤตการระบาดของ COVID-19 ซึ่งช่วงเวลานั้นถือเป็นยุคทองของเหล่า Big Tech Company แต่มาปี 2022 ที่การระบาดคลี่คลายลง แต่กลับมีวิกฤตที่ไม่คาดคิดอย่างสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งส่งผลกระทบต่อต้นทุนต่าง ๆ จนเกิดปัญหาภาวะเงินเฟ้อตามมา ทำให้บริษัทเทคโนโลยีหลายรายต้องลดพนักงานลง โดยรวมแล้วคาดว่ามีกว่า 44,000 คน เลยทีเดียว ดังนั้น ไปดูกันว่าปีนี้มีบริษัทไหนที่ลดคนกันบ้าง
Meta (11,000 คน)
บริษัทแม่ของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียระดับโลกไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram และ WhatsApp กลายเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่ปลดพนักงานมากที่สุดในบรรดาบริษัทเทคโนโลยีทั้งหมดที่ประกาศปลดพนักงานในปีนี้ โดยปรับลดพนักงานมากถึง 13% หรือราว 11,000 คนทั่วโลก จากพนักงานทั่วโลกประมาณ 87,000 คน
โดย มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ออกมายอมรับว่า เป็นความผิดของเขาที่ มองการเติบโตในแง่ดีเกินไป แต่เพราะเศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัวจากปัญหาเงินเฟ้อ ส่งผลให้ต้นทุนการดำเนินงานสูงขึ้น นอกจากนี้ การแข่งขันที่สูงจนส่งผลกระทบต่อความต้องการในตลาดที่เริ่มลดลง ขณะที่ตลาดโฆษณาเองก็ยังไม่ฟื้นตัว ทำให้บริษัทต้องปลดพนักงานครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ 18 ปีของบริษัทนับตั้งแต่ก่อตั้ง
Twitter (3,700 คน)
หลังจากที่ได้เจ้าของใหม่เป็น อีลอน มัสก์ อดีตมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลกที่ปัจจุบันหล่นมาเป็นอันดับ 2 โดยหลังจากที่เขาเข้ารับตำแหน่ง ความวุ่นวายก็บังเกิด เพราะสิ่งแรกที่มัสก์ทำก็คือ ไล่ผู้บริหารระดับสูงออก พร้อมกับยกเลิกการ Work From Home อีกทั้งยังต้องการให้พนักงานทุกคนกลับมาทำงานที่ออฟฟิศ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ จนทำให้พนักงานบางส่วนไม่พอใจและพร้อมจะ ลาออก
และเนื่องจาก Twitter ตกอยู่ในสถานะใกล้ล้มละลาย ต้องขาดทุนคิดเป็นเงินกว่า 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวัน (ราว 140 ล้านบาท) ทำให้มัสก์ ประกาศเลิกจ้างพนักงานกว่า 50% หรือประมาณ 3,700 คน จากพนักงานทั้งหมด 7,500 คน
Amazon (10,000 คน)
ย้อนไปช่วงที่ COVID-19 ระบาด บริษัทอีคอมเมิร์ซทั่วโลกได้รับอานิสงส์จากการช้อปปิ้งออนไลน์ และ Amazon อีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่สัญชาติสหรัฐฯ ก็คือหนึ่งในนั้น โดยในปี 2021 บริษัทมีพนักงาน Full Time และ Part Time รวมทั้งสิ้น 1.6 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 102%
แต่ในปี 2022 นี้ บริษัทได้ประกาศแผนปลดพนักงานครั้งใหญ่ราว 10,000 คน โดยส่วนใหญ่จะเป็นพนักงานฝ่ายบริการเครื่องมือ, ฝ่ายค้าปลีก และฝ่ายทรัพยากรบุคคลเป็นหลัก โดยการปรับลดพนักงานครั้งนี้ ถือเป็นการเลิกจ้างพนักงานครั้งใหญ่สุดของบริษัท อย่างไรก็ตาม จำนวนพนักงานที่ลดลงนั้นคิดเป็นสัดส่วนต่ำกว่า 1% ของพนักงาน Amazon ทั่วโลก
Microsoft (1,000 คน)
ก่อนที่จะมีข่าวว่า Microsoft เตรียมลดจำนวนพนักงานลงราว 1,000 ตำแหน่ง บริษัทก็เริ่มส่งสัญญาณว่ากำลังจะรัดเข็มขัดตั้งแต่ช่วงกลางปีแล้ว เนื่องจากบริษัทชะลอจ้างงานในแผนก Windows, Office และ Teams สำหรับจำนวนพนักงานที่จะปลดราว 1,000 ตำแหน่งในครั้งนี้ คาดว่าส่วนที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดจะเป็นแผนก Xbox, กฎหมาย, Experiences and Devices, แผนก Strategic tech positions และอื่น ๆ ขณะที่พนักงานที่โดนปลดจะมีทั้งพนักงานระดับล่างจนถึงระดับสูง
Apple (100 คน)
บริษัทที่ยังเติบโตได้ดีอย่าง Apple ก็ลดจำนวนพนักงานด้วยเช่นกัน แต่ลดเพียง 100 ตำแหน่ง จากพนักงานทั้งหมด 150,000 ตำแหน่งทั่วโลก โดยจำนวนพนักงานที่ถูกเลิกจ้างทั้งหมดนั้นเป็น พนักงานสัญญาจ้างฝ่ายสรรหาบุคลากร (Recruiter) แม้การเลิกจ้างจะไม่เยอะ แต่ Apple ก็ได้เปิดเผยว่าจะ ชะลอการจ้างงานในปีหน้าเพื่อลดต้นทุน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง
Netflix (450 คน)
นับเป็นปีที่ไม่ดีเอามาก ๆ สำหรับ Netflix เจ้าของแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเบอร์ต้นของโลก หลังจากที่เจอการแข่งขันที่ดุเดือดขึ้น ทำให้จำนวนสมาชิกลดลงครั้งแรกในรอบ 10 ปี ส่งผลให้บริษัทต้องลดต้นทุนของบริษัท โดยได้ปรับลดจำนวนพนักงานลงรวมแล้วถึง 450 ตำแหน่ง จากจำนวนพนักงานทั้งหมด 11,000 คน และนอกจากลดจำนวนพนักงานแล้วบริษัทยัง ต้องหั่นงบแผนก Animation ทิ้งอีกด้วย
นอกจากมาตรการลดต้นทุนแล้ว Netflix ก็พยายามจะหารายได้จากช่องทางใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มแพ็กเกจ โฆษณา หรือการออกมาตรการป้องกันการ แชร์แอคเคาท์ อีกด้วย
Sea (7,000 คน)
Sea Group สตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นของภูมิภาคอาเซียน เจ้าของธุรกิจเกม Garena, อีคอมเมิร์ซ Shopee และอีเพย์เมนต์ ได้ปรับลดพนักงานกว่า 7,000 คน หรือราว 10% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา เพื่อลดภาวะขาดทุนเป็นการปรับโครงสร้างธุรกิจให้มีศักยภาพมากขึ้น
นอกจากปรับลดจำนวนพนักงานลงแล้ว บริษัทก็ได้ปรับ ลดโบนัส และในส่วนของพนักงานที่ไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งก็จะ ไม่มีการปรับขึ้นเงินเดือน อีกด้วย ซึ่งปีนี้นับว่าเป็นปีที่ไม่ค่อยดีของ Sea นัก โดยบริษัทจำเป็นต้องปิดกิจการอีคอมเมิร์ซอย่าง Shopee ใน 4 ประเทศ จากวิกฤตดังกล่าว ส่งผลให้ Sea ได้สูญเสียมูลค่าไปประมาณ 77% แล้วในปีนี้
Tesla (200 คน)
มีรายงานว่า เทสลา ได้เลิกจ้างพนักงาน 200 คน ในทีม Autopilot โดยส่วนใหญ่เป็นพนักงานจ้างรายชั่วโมง เนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าปิดโรงงานในแคลิฟอร์เนีย ส่วนพนักงานที่เหลืออีกราว 350 คน จะถูกโยกไปทำงานในโรงงานใหม่ที่อยู่ใกล้ ๆ กัน นอกจากนี้ยังจะมีการปลดพนักงานในช่วงต้นปี 2023 ด้วย
ปัจจุบัน เทสลามีพนักงานทั่วโลกประมาณ 100,000 คน โดยมีสำนักงานใหญ่ของเทสลาปัจจุบันตั้งอยู่ในเมืองออสติน รัฐเท็กซัส และบริษัทกำลังสร้างโรงงานใหม่ในออสตินและเบอร์ลิน ทำให้บริษัทเริ่มมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
Xiaomi (15%)
Xiaomi บริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายใหญ่ของจีนก็ไม่รอด จำเป็นต้องปรับลดพนักงานลงประมาณ 15% จากพนักงานทั้งหมดราว 35,000 คน โดยประมาณ 32,000 คนนั้นทำงานอยู่ที่จีน โดยการเลิกจ้างงานในครั้งนี้ส่วนใหญ่จะเป็นพนักงานในกลุ่มธุรกิจบริการสมาร์ทโฟนและอินเทอร์เน็ต ซึ่งคาดว่าการลดพนักงานจะช่วยลดต้นทุนด้านค่าจ้างได้ราว 15%
โดยสาเหตุที่ Xiaomi ต้องปรับลดพนักงานลงเป็นเพราะยอดขายที่ลดลง โดยจากรายงานรายได้ไตรมาสที่ 3 ร่วงลง 9.7% เนื่องจากผลกระทบจากมาตรการควบคุมโควิดในจีน ทำให้ความต้องการของผู้บริโภคลดลง ด้านรายได้จากสมาร์ทโฟน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60% ของรายได้ทั้งหมดลดลง 11%
บริษัทเหล่านี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะจริง ๆ แล้วยังมีอีกหลายบริษัทที่วางแผนจะลดจำนวนพนักงานลงในปีหน้า อาทิ Disney หรืออย่าง HP ที่วางแผนจะลดจำนวนพนักงานลง 4,000-6,000 ตำแหน่งในอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งคงต้องรอดูกันว่าถ้าเศรษฐกิจในปีหน้าดีขึ้น อัตราการเลิกจ้างจะลดลงไปด้วยหรือไม่