ปีนี้เดือด! “ลลิล” คาดตลาดอสังหาฯ ปี’66 แข่งดุ ตั้งเป้าโต 10% มุ่งตลาดราคา 2-9 ล้านบาท

ลลิล
  • “ลลิล” คาดการณ์ปี 2566 เศรษฐกิจยังต้องระวัง ตลาดอสังหาฯ น่าจะแข่งดุ โดยผู้เล่นจะถูกแบ่งเป็นสองขั้วแบบ ‘K-shape’ รายเล็กเหนื่อยกว่า
  • บริษัทขอเดินกลยุทธ์ต่อจากปีก่อน เน้นแนวราบทาวน์เฮาส์และบ้านเดี่ยวอย่างละครึ่ง เกาะราคา 2-9 ล้านบาทเป็นหลัก ตั้งเป้ายอดขาย 8,600 ล้านบาท รับรู้รายได้ 6,850 ล้านบาท เติบโต 10%

ภาคอสังหาริมทรัพย์จะขึ้นหรือลงขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจโดยรวม “ไชยยันต์ ชาครกุล” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) วิเคราะห์ภาพเศรษฐกิจไทยก่อนว่า ปี 2566 นี้น่าจะเติบโต 3.5-4.0% เพิ่มขึ้นจากปีก่อน หากประเทศไทยสามารถดึงนักท่องเที่ยวเข้าไทยได้ 22 ล้านคนตามเป้าหมาย และรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้งสามารถผลักดันการใช้จ่ายภาครัฐได้ดี แม้ว่าภาคการส่งออกน่าจะไม่กระเตื้องจากปีก่อนเท่าใดนักก็ตาม

แม้จะเป็นข่าวดีที่เศรษฐกิจไทยอยู่ในกลุ่มที่น่าจะเติบโตมากกว่าปีก่อน แต่ก็ต้องระมัดระวังเพราะไทยผูกติดกับเศรษฐกิจโลก และหลายประเทศในโลกเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือมีแนวโน้มจะเกิดขึ้น เช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น สหรัฐฯ

อีกทั้งการเปิดรับนักท่องเที่ยวจีนก็อาจจะเป็นดาบสองคม คือช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี แต่มีความเสี่ยงคืออาจก่อให้เกิดการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ในไทยอีกครั้งได้เช่นกัน

ลลิล
“ไชยยันต์ ชาครกุล” ประธานกรรมการบริหาร และ “ชูรัชฏ์ ชาครกุล” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)

จากภาพเศรษฐกิจของปีนี้ที่ยังมีการเติบโต ไชยยันต์มองภาคอสังหาฯ ไทยว่าจะมีการเติบโตราว 5% แต่จะเป็นการเติบโตที่มาจาก “รายใหญ่” ทุ่มลงทุนสูง อาจได้เห็นหลายบริษัทปักเป้ายอดขายเติบโตถึง 20% ในขณะที่ “รายเล็ก” ที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จะยากลำบากในการแข่งขัน ทำให้ภาคอสังหาฯ ไทยมีลักษณะเป็น K-shape มีรายที่เติบโตได้ดี และบริษัทที่เป็นขาลง อาจได้เห็นบางแห่งถูกเทกโอเวอร์

 

ลลิลขอเกาะกลุ่มขาขึ้น วางเป้าโต 10%

ไชยยันต์ระบุว่า ลลิลต้องการจะเกาะกระแสในกลุ่มขาขึ้นของ K-shape ครั้งนี้ให้ได้ โดยตั้งเป้าเติบโตในระดับปานกลางโตประมาณ 10% แยกรายละเอียด ดังนี้

  • เปิดตัวโครงการใหม่ 10-12 โครงการ มูลค่ารวม 7,000-8,000 ล้านบาท
  • วางเป้ายอดขาย 8,600 ล้านบาท
  • วางเป้ารับรู้รายได้ 6,850 ล้านบาท
  • วางงบซื้อที่ดิน 1,500-1,600 ล้านบาท

ทั้งนี้ ช่วง 9 เดือนแรกปี 2565 ลลิลทำรายได้ไปกว่า 4,700 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 965 ล้านบาท ส่วนเต็มปี 2564 ลลิลทำรายได้เกือบ 6,600 ล้านบาท และทำกำไรสุทธิเกือบ 1,400 ล้านบาท

ลลิล
แบบบ้านเฟรนช์โคโลเนียลของลลิล

ด้าน “ชูรัชฏ์ ชาครกุล” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแผนบริษัทปีนี้ว่า ทั้งหมดจะเป็นโครงการทาวน์เฮาส์กับบ้านเดี่ยว กลุ่มราคา 2-9 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับราคาลูกค้าซื้ออยู่จริง และส่วนใหญ่จะเป็นทำเลกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในตลาดต่างจังหวัดบริษัทยังรอจังหวะกำลังซื้อของผู้บริโภคกลับมาก่อน อาจจะได้เห็นในช่วงครึ่งปีหลัง

ในแง่ของการปรับตัวในยุคหลังโควิด-19 บริษัทมีการปรับไปแล้วหลายด้าน เช่น ดีไซน์บ้านที่มีห้องเอนกประสงค์สำหรับเรียน/ทำงาน/ขายสินค้าออนไลน์ ปรับตัวเป็นองค์กรดิจิทัล ลดใช้กระดาษเพื่อสิ่งแวดล้อม และปีนี้จะเห็นการกลับมาทำตลาดผสมผสานออนไซต์กับออนไลน์ เพราะปัญหาโควิด-19 คลี่คลายไปแล้ว

เนื่องจากปีนี้จะมีการเลือกตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ไชยยันต์ยังฝากความเห็นล่วงหน้าถึงรัฐบาลหน้าว่า สิ่งที่ภาคอสังหาฯ ต้องการโดยด่วนขณะนี้คือการเปิดโควตา “แรงงานต่างด้าวถูกกฎหมาย” ให้เข้ามาได้มากขึ้น เพราะปัจจุบันแรงงานยังคงไม่เพียงพอ และหากไม่เร่งแก้ปัญหา เรื่องแรงงานจะกลายเป็น “ระเบิดเวลา” ของวงการ