กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) ได้เปิดเผยแผนธุรกิจในปี 2566 ว่าในปีนี้ขยายธุรกิจด้วยความระมัดระวังมากขึ้น ขณะเดียวกันแพลตฟอร์มลงทุนออนไลน์ หรือการเจาะลูกค้ากลุ่ม Mass นั้นมองว่าจะเป็นช่องทางสร้างรายได้ใหม่ๆ หลังจากนี้
อภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวถึงปี 2565 ที่ผ่านมานั้นเติบโตได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นรายได้ กำไร และยังมีงบดุลที่ดี เป็นการโตต่อเนื่อง รวมถึงพยายามโตอย่างมีคุณภาพ
เขากล่าวว่า KKP ทำได้ตามที่คาด เป็นผลจาก 2 ปีที่ผ่านมามีความไม่แน่นอนสูง ทำให้ KKP ต้องทำอะไรหลายอย่าง นอกจากนี้ในปีที่ผ่านมาได้ตั้งสำรองไว้เยอะหลายอัน ขณะที่ต้นทุนของเงินทุนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นผลของการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย
ขณะเดียวกันเขายังกล่าวว่าปีที่ผ่านมาในส่วนของธุรกิจใหม่ๆ นั้นทาง KKP ได้ลองผิดลองถูก เขากล่าวว่าอาจกระทบค่าใช้จ่ายบ้างแต่หลังจากนี้เขามองว่าจะให้รายได้ที่เพิ่มมากขึ้น
เน้นลูกค้ากลุ่ม Mass มากขึ้น
ฟิลิป เชียง ชอง แทน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ได้ให้รายละเอียดในส่วนของธุรกิจธนาคารพาณิชย์ว่า ปี 2565 ที่ผ่านมาถือเป็นปีที่ธนาคารมีผลประกอบการดีเป็นประวัติการณ์ โดยสินเชื่อมีการขยายตัวได้ดีถึง 21.4% ส่งผลให้มีการเติบโตของทั้งรายได้จากดอกเบี้ย และจากค่าธรรมเนียม
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจยังมีความเสี่ยง แนวทางการดำเนินธุรกิจในปี 2566 จึงยังคงเป็นการเติบโตแบบมีกลยุทธ์ (Smart Growth) หรือการเลือกขยายสินเชื่อในกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพและสินเชื่อที่มีหลักประกัน เช่น สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ และสินเชื่อบ้าน
นอกจากนี้ธนาคารฯ ยังเตรียมเจาะตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์สินเชื่อใหม่ในชื่อที่เรียกว่า รถเรียกเงิน รวมถึงการใช้ประโยชน์จากช่องทางดิจิทัลของธนาคารมากขึ้น ไม่ว่าแอป KKP Mobile หรือแอปของบริษัทในกลุ่มอย่าง Edge เพื่อเชื่อมโยงบริการของธนาคารเข้ากับบริการด้านการลงทุนที่เป็นความชำนาญของกลุ่มธุรกิจฯ
เขายังชี้ว่าการปล่อยสินเชื่อนั้นต้องไม่ทำร้ายลูกค้า เนื่องจากหนี้ในครัวเรือนของไทยที่สูง เพราะไม่งั้นเรื่องดังกล่าวจะย้อนกลับมาทำร้ายองค์กรได้ ขณะเดียวกันทางธนาคารก็ได้ลงทุนด้านดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น เพื่อที่จะทำให้ธุรกิจโตมากขึ้น เน้นขยายกลุ่มลูกค้าแบบ Mass มากขึ้น ไม่ใช่แค่ธุรกิจลงทุนอย่างเดียว เนื่องจากลูกค้าไม่ได้ต้องการผลิตภัณฑ์อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ลงทุน ประกันฯ อย่างเดียว แต่สินเชื่อก็สำคัญ
ยังมีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้ามา
ปรีชา เตชรุ่งชัยกุล ประธานสายการเงินและงบประมาณ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวข้อมูลทางการเงินของผลการดำเนินงานปี 2565 ว่า กลุ่มธุรกิจฯ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 7,602 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.3 และมีกำไรเบ็ดเสร็จ 10,120 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 43.2 จากปี 2564 โดยเป็นกำไรสุทธิของธุรกิจตลาดทุน จำนวน 758 ล้านบาทและเป็นกำไรเบ็ดเสร็จของธุรกิจตลาดทุน จำนวน 1,077 ล้านบาท
เขาชี้ว่าในเรื่องธุรกิจตลาดทุนถ้าหากไม่นับเรื่อง MORE คือธุรกิจดีต่อเนื่อง ขณะที่ธุรกิจ Wealth Management ยังเม็ดเงินใหม่ๆ ยังไหลเข้ามา แม้ว่ารายได้จริงๆ จะลดลง เนื่องจากความไม่แน่นอนของตลาด ทำให้ลูกค้าไปลงทุนในเงินฝากหรือกองทุนตลาดเงิน ทำให้รายได้ไม่เท่าเดิมก็ตาม
เป้าหมายในปี 2566
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ KKP กล่าวถึงเป้าหมายธุรกิจในปี 2566 นี้ว่าต้องการเบาคันเร่งธุรกิจลง เน้นกิจการเติบโตให้มีคุณภาพมากขึ้น เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจโลกยังไม่สดใส โดยเขาให้เป้าหมาย Loan Growth เติบโตปีนี้ 13% และมองสัญญาณ NPL ในปีนี้น่าจะดีขึ้นคาดว่าจะอยู่ราวๆ 3.1%
อภินันท์ชี้ว่าถ้าหากเศรษฐกิจดีขึ้น ตลาดทุนน่าจะกลับมา ซึ่งส่งผลต่อค่าธรรมเนียมนั้นเพิ่มมากขึ้น ขณะที่การใช้ระบบ Digital และ Automation ก็มีแต่ไม่เยอะมาก และจะไปเน้นเรื่องแพลตฟอร์มการลงทุนผ่านช่องทางดิจิทัลอย่าง Dime หรือ Digital Edge ซึ่งเน้นกลุ่มลูกค้า Mass ถือเป็นรายได้ใหม่ๆ ต่อยอดจากเครื่องมือที่ลงทุนไปก่อนหน้า
สำหรับมุมมองเรื่อง Virtual Banking เขาชี้ว่าปัจจุบันว่าเงินทุนนั้นใช้มาก 5,000-10,000 ล้านบาท และมีข้อจำกัดที่มากขึ้น และยังต้องมาเริ่มต้นใหม่ ซึ่งเขามองว่าจะใช้ประโยชน์ได้ยังไง ยกเว้นในกรณีที่ไปหาพาร์ตเนอร์ใหม่ๆ แต่ก็ต้องมาเทียบว่าการทำงานกับพาร์ตเนอร์นั้นดีหรือเปล่า คุ้มหรือไม่ แต่เขาชี้ว่าหลังจากนี้ก็อาจเปลี่ยนใจได้
นอกจากนี้เขายังชี้ถึงสินเชื่อกลุ่มอสังหาฯ ไม่เติบโตเลยในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา สวนทางกับสินเชื่อบริษัทรายใหญ่ที่เติบโตมาก เนื่องจากสถานการณ์ตลาดพันธบัตรไม่ได้ดีมากเท่าไหร่ในช่วงที่ผ่านมา และยังต่อยอดจากธุรกิจวาณิชธนกิจ (ซึ่งเป็นข้อดีหลังจากควบรวมกิจการ) อย่างไรก็ดีเขาชี้ว่าสินเชื่อบริษัทนั้นเติบโตแต่ก็ต้องดูเรื่องต้นทุนของบริษัทด้วย
เขายังชี้ว่าการเติบโตของธุรกิจอย่างหลากหลายทำให้ความเสี่ยลดลง และยืนยันว่าจะไม่ไปดำเนินธุรกิจในสิ่งที่ไม่ถนัด รวมถึงทำตัวให้ยืดหยุ่น