หลังผ่านช่วงโควิด-19 ปี 2566 “เมเจอร์” จะกลับมาลุยอสังหาฯ เต็มสูบ 7 โครงการ มูลค่ารวม 14,700 ล้านบาท โดยมี 5 แบรนด์ใหม่เจาะตลาดไฮเอนด์ถึงซูเปอร์ลักชัวรี คอนโดฯ ปักธง 2 ทำเล พร้อมพงษ์และพญาไท ปี 2567 เตรียมขึ้นมิกซ์ยูสใกล้อารีย์ ฮิลส์
“เพชรลดา พูลวรลักษณ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เปิดแผนปี 2566 บริษัทจะกลับมาลงทุนอสังหาฯ แบบ All-time High โดยเตรียมเปิดทั้งหมด 7 โครงการ มูลค่ารวม 14,700 ล้านบาท
ที่ถือว่าเป็น ‘การกลับมา’ เพราะเมเจอร์ฯ มีช่วงที่ไม่ได้เปิดโครงการใหม่เลยต่อเนื่อง 2 ปีในช่วงปี 2563-64 ซึ่งเป็นผลจากโควิด-19 และปี 2565 มีการเปิดใหม่เพียง 2 โครงการ มูลค่ารวม 5,200 ล้านบาท ปีนี้จึงเป็นปีแห่งการบุกตลาด
ด้านเป้าหมายยอดขายตั้งไว้ที่ 7,000 ล้านบาท เติบโตเกือบ 200% และเป้าหมายรายได้ 5,000 ล้านบาท เติบโต 67% ซึ่งเพชรลดาเชื่อว่าจะทำให้ปีนี้เมเจอร์ฯ เทิร์นอะราวด์ทำกำไรสำเร็จ
ขึ้นแบรนด์ใหม่รวด 5 แบรนด์
เจาะลึกโครงการที่จะเปิดตัวปีนี้ แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 2 โครงการมูลค่ารวม 8,800 ล้านบาท และแนวราบ 5 โครงการ มูลค่ารวม 5,900 ล้านบาท รายละเอียดทุกทำเล ดังนี้
- มิวนีค (Muniq) พร้อมพงษ์ ทำเลปากซอยสุขุมวิท 39 (ติดกับโครงการ Marque สุขุมวิท ของเมเจอร์ฯ เอง) ราคาเฉลี่ย 310,000 บาทต่อตร.ม. โดยเป็นโครงการที่เลื่อนมาจากแผนเดิมเมื่อปี 2564
- มาร์ควิส (Marquis) พญาไท มาในคอนเซปต์ใหม่เป็น Super Luxury Wellness Condo ราคาเฉลี่ย 265,000 บาทต่อตร.ม.
- เมย์ฟิลด์ (Mayfield) ปิ่นเกล้า แบรนด์พรีเมียมทาวน์โฮม คอนเซปต์ที่อยู่อาศัยท่ามกลางธรรมชาติ ราคา 13-16 ล้านบาท
- เมย์ฟิลด์ (Mayfield) รามอินทรา-คู้บอน แบรนด์พรีเมียมทาวน์โฮม คอนเซปต์ที่อยู่อาศัยท่ามกลางธรรมชาติ ราคา 12-15 ล้านบาท
- เมย์ฟิลด์ เลน (Mayfield Lane) รัชดา-ลาดพร้าว แบรนด์บ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี ราคา 34-41 ล้านบาท
- มิลฟอร์ด (Milford) ลาดพร้าว-รามคำแหง ไพรเวท ลักชัวรี ทาวน์โฮม ราคาขาย 14-17 ล้านบาท
- บ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักชัวรี แบรนด์ใหม่ ย่านพัฒนาการ ราคา 65-100 ล้านบาท ยังอยู่ระหว่างตั้งชื่อ แต่จะเป็นแบรนด์แบบ Limited Edition
สังเกตว่าปีนี้มีการเปิดแบรนด์ใหม่ถึง 5 แบรนด์ ซึ่งเป็นการเปิดมาให้รองรับกับเซ็กเมนต์และพฤติกรรมรูปแบบที่เหมาะกับทำเล โดยเฉพาะแนวราบนั้นปกติเมเจอร์ฯ มีการพัฒนามาไม่มากและมักจะพัฒนาเป็นบ้านเดี่ยวราคา 30 ล้านบาทขึ้นไป ปีนี้จึงได้เห็นแบรนด์ใหม่ๆ ขึ้นมาครอบคลุมโปรดักส์ เช่น บ้านแฝด ทาวน์โฮม ในตลาดราคา 10 ล้านต้นๆ จนถึง 30 ล้านบาทมากขึ้น
ปี’67 มีแผนรอแล้ว จับตามิกซ์ยูสย่าน “อารีย์”
เมื่อกลับมาลุยเต็มสูบ ปี 2567 เมเจอร์ฯ จึงมีแผนรองรับแล้วเช่นกัน โดยจะเปิดทั้งหมด 8 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 14,000 ล้านบาท
ไฮไลต์ทำเลที่มีที่ดินรองรับแล้ว พร้อมขึ้นโครงการ ได้แก่ มิกซ์ยูสทำเลใกล้อารีย์ ฮิลส์ มูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท ซึ่งจะมีทั้งออฟฟิศและคอนโดฯ กับโครงการคอนโดฯ มารุ จุฬา มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท คาดเปิดขายในราคาเฉลี่ย 135,000 บาทต่อตร.ม.
ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างหาที่ดิน โดยทำเลหนึ่งที่กำลังเล็งอยู่คือกรุงเทพกรีฑา จากยอดขายโครงการ มอลตัน เกตส์ กรุงเทพกรีฑา ที่เปิดตัวปีก่อนพุ่งเกินคาด ทำให้มองว่าดีมานด์ยังมีอยู่อีก
- ถอดบทเรียน “คอนโดฯ เลี้ยงสัตว์ได้” ประสบการณ์ 20 ปีของ “โอ๋-เพชรลดา” แห่ง MJD
- “อนันดาฯ” ปี 2566 ผ่อนคันเร่งเปิดโครงการใหม่ เน้นระบายสต็อกพร้อมอยู่ 45,000 ล้านบาท
อนาคต 5 ปีต้อง “Diversify”
เพชรลดายังกล่าวถึงแผนระยะยาว 5 ปีของบริษัทด้วยว่า บริษัทต้องการจะ Diversify แหล่งรายได้ให้มากขึ้น จากปัจจุบัน 96% ของรายได้มาจากอสังหาฯ เพื่อขาย และ 4% มาจากรายได้ค่าเช่าออฟฟิศ ห้องพักโรงแรม และค่าบริหารโครงการ
อนาคตของเมเจอร์ฯ ต้องการจัดแหล่งรายได้ใหม่ แบ่งสัดส่วน ดังนี้
- 65% จากอสังหาฯ เพื่อขาย
- 8% จากออฟฟิศและโรงแรม
- 7% จากบริษัทรับจ้างบริหารโครงการ/นิติบุคคล
- 20% ธุรกิจใหม่ที่ไม่ใช่อสังหาฯ (non-real estate)
ธุรกิจใหม่ของเมเจอร์ฯ เริ่มลงทุนไปบ้างแล้วในบริษัทสตาร์ทอัพด้านสุขภาพและด้านเทคโนโลยีในชื่อ “HealthScape” และ “TechScape” เริ่มตั้งแต่ปี 2563 และได้ประโยชน์ในการพัฒนาระบบหลังบ้านให้กับเมเจอร์ฯ เช่น ระบบบริหาร CRM ลูกค้า
ภายในปี 2567 บริษัทมีงบลงทุนธุรกิจใหม่อีก 200 ล้านบาท ในระยะยาวอาจจะมีการลงทุน JV กับบริษัทใหม่ได้อีก หรือเป็นการควบรวมกิจการ หรือจัดตั้งจากคนในบริษัทเองก็ได้ แต่คอนเซปต์ธุรกิจใหม่จะต้องเกี่ยวข้องกับ “LifeScape” แต่ไม่ใช่การลงทุนในลักษณะอสังหาฯ (non-real estate)
“สถานการณ์แบบ ‘VUCA World’ ทำให้การมีธุรกิจแค่อย่างใดอย่างหนึ่งไม่ตอบโจทย์โลกที่ไม่แน่นอน เราต้องเริ่มหาน่านน้ำใหม่ที่เป็นเทรนด์อนาคต อะไรที่เมเจอร์ฯ จะต่อยอดได้” เพชรลดากล่าว “นิยามใหม่ของเราคือการเป็น LifeScape Developer เราไม่ใช่แค่ทำการออกแบบก่อสร้าง เพราะเราต้องเข้าใจการใช้ชีวิตของคน และเราเปิดโอกาสตัวเองให้ทำอะไรก็ได้ที่เกี่ยวข้องกับภูมิทัศน์การใช้ชีวิต”
(*VUCA World หมายถึง V-Volatility ความผันผวน, U-Uncertainty ความไม่แน่นอน, C-Complexity ความซับซ้อน และ A-Ambiguity ความคลุมเครือ)