สูงสุดคืนสู่สามัญ! กำไร Q1/23 “Samsung” หดตัวถึง 96% เหตุ “ชิป” ล้นตลาด ขายไม่ออก

Samsung Electronics รายงาน กำไรจากการดำเนินงาน Q1 ปี 2023 หดตัว 96% หนักกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ เหตุจาก “ชิป” ล้นตลาด เพราะผู้บริโภคกำลังซื้อลดจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว

บริษัทผู้ผลิตชิปความจำและโทรทัศน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก Samsung Electronics รายงานคาดการณ์กำไรจากการดำเนินงานช่วงไตรมาสแรกปี 2023 ว่า น่าจะตกลงเหลือ 6 แสนล้านวอน (ประมาณ 1.55 หมื่นล้านบาท) จากที่เคยทำได้สูงถึง 14.12 ล้านล้านวอน (ประมาณ 3.65 แสนล้านบาท) ในไตรมาสแรกปี 2022

“ดีมานด์ชิปความจำตกลงอย่างรุนแรง หลังจากสถานการณ์เศรษฐกิจมหภาคชะลอตัวลงและทำให้ความต้องการซื้อของผู้บริโภคช้าลงตาม ลูกค้าจำนวนมากปรับเปลี่ยนการใช้เงินอย่างต่อเนื่อง” บริษัทแถลง

ก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์อย่าง Refinitiv SmartEstimate คาดว่า Samsung Electronics จะทำกำไรได้ราว 8.73 แสนล้านวอน (ประมาณ 2.26 หมื่นล้านบาท) ทำให้กำไรที่ออกมาจริงๆ นั้นต่ำกว่าที่คาดการณ์ไปมาก

รายได้ของบริษัทเองในไตรมาสล่าสุดก็น่าจะตกลง 19% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยรายได้น่าจะเหลือเพียง 63 ล้านล้านวอน (ประมาณ 1.63 ล้านล้านบาท)

รายละเอียดของรายได้และกำไรโดยแยกตามแผนกจะออกมาอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่งภายในเดือนเมษายนนี้

เมื่อปี 2020-2021 เคยมีช่วงที่การผลิตชิปขาดแคลนจนกระทบซัพพลายเชนสินค้าต่างๆ ตั้งแต่คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน จนถึงรถยนต์ แต่ขึ้นมาต้นปี 2023 นี้ เราอาจจะได้เห็นสถานการณ์กลับทางกัน ล่าสุด Apple ก็เพิ่งจะสั่งให้ TSMC ซัพพลายเออร์ผู้ผลิตชิป M2 หยุดการผลิตไปก่อน เพราะยอดขาย MacBook M2 ไม่เข้าเป้า

เฉพาะตลาดชิปความจำนั้นเริ่มเห็นสัญญาณราคาตกลง 20% ตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายปีก่อน และคาดว่าครึ่งปีแรกปี 2023 นี้น่าจะตกลงอีกแบบดับเบิลดิจิต

ผู้ผลิตชิปความจำหลายรายมีการสะสมสต็อกไว้จำนวนมาก มองภาพธุรกิจปีนี้น่าจะไม่ค่อยสดใสนัก เพราะดีมานด์สินค้าอิเล็กทรอนิกส์เริ่มชะลอลงแล้ว ตรงข้ามกับช่วงเกิดโรคระบาดใหม่ๆ

นอกจาก Samsung ที่เริ่มเห็นภาพลบในผลกำไร อีกหนึ่งผู้เล่นในตลาดอย่าง Micron Technology เปิดเผยแผนมาแล้วว่า ปีนี้บริษัทจะเริ่มลดตำแหน่งงาน และลดการใช้จ่ายตลอดปี เพื่อลดต้นทุนการผลิต

หลังจากครึ่งปีแรกมีปัจจัยลบมากมายจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ดอกเบี้ยขาขึ้น และความไม่แน่นอนที่เกิดจากสงครามรัสเซียยูเครน ตลาดชิปน่าจะต้องฝากความหวังไว้กับดีมานด์ผู้บริโภคในช่วงครึ่งปีหลังปีนี้ที่อาจจะปรับตัวดีขึ้น เพราะตลาดจีนเริ่มกลับฟื้นตัวแล้ว เมื่อจีนผ่อนคลายความเข้มงวดนโยบายโควิด-19 และเริ่มเปิดประเทศ 

ที่มา: CNBC, MacRumors, Wall Street Journal