“มา Touch กันเถอะ” 5 Trends for 2012 from McCann

วฤตดา วรอาคม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านนวัตกรรม (ซีไอโอ) แมคแคน เวิลด์กรุ๊ป(ประเทศไทย) คาดการณ์แนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในวงการตลาดเมืองไทยในปี 2012 โดยมีพื้นฐานจากกระแสที่เกิดขึ้นในปี 2011 ดังนี้

 

1. Speed with Personalize 

ปี 2011 ที่กำลังจะผ่านไป เป็นปีที่ผู้บริโภครับรู้ข่าวสารได้รวดเร็วมากกว่าที่เคยด้วยพัฒนาการของอุปกรณ์สื่อสาร กับโซเชี่ยลมีเดียทั้งหลาย สร้างความสะดวกสบาย และสร้างความเป็นสังคมเมือง มาถึงปี 2012 ข้อมูลต่างๆ จะยังหลั่งไหลเข้ามาเช่นเคย แต่ผู้บริโภคจะเลือกรับเฉพาะข้อมูลที่ถูก “กลั่นกรอง” “คัดสรร” มาให้แล้ว ตามความสนใจของตัวเอง สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นผลมาจากความชื่นชอบ ไลฟ์สไตล์ของผู้คนที่เป็นปัจเจกมากขึ้น

สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาในแวดวงการตลาดจากแนวโน้มนี้ก็คือ บล็อกเกอร์ จะมีความสำคัญมากขึ้น เพราะเป็นคนเลือกข้อมูลมาให้ผู้อ่าน นอกจากนี้แอพพลิเคชั่นหรือโซเชี่ยลมีเดียที่โฟกัสความต้องการเฉพาะผู้ใช้งาน

 

 2. Mindfullness Everything

ปี 2011 เป็นปีที่อาหารเพื่อสุขภาพได้รับความสนใจอย่างเห็นได้ชัด สินค้าทั้งในระดับพรีเมียมและระดับแมสต่างก็ใช้วัตถุดิบที่มาจากออร์แกนิคเป็นจุดขาย จากเดิมที่สินค้าประเภทนี้จะจำกัดแค่ความต้องการเฉพาะกลุ่ม แต่ต่อไปนี้แนวคิดเรื่องออร์แกนิคและการเช้าถึงสิ่งแวดล้อมจะขยายไปสู่สินค้าอื่นๆ รอบตัว ขยับจากอาหารที่เข้าสู่ร่างกายมาเป็นของใช้ในชีวิตประจำวันเริ่มจากสิ่งใกล้ตัวก่อนและขยายไปถึงของใช้ทั่วไปทุกสิ่ง ทั้งนี้เป็นผลมาจากกระแสเรื่องสิ่งแวดล้อม ความใส่ใจสุขภาพ และการที่ผู้บริโภคมีการศึกษาดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้เห็นตัวอย่างจากอินเตอร์แบรนด์อย่างสตาร์บัคที่ทำให้เห็นขั้นตอนการผลิตมาแล้ว

จากแนวโน้มดังกล่าวสิ่งที่จะเห็นมากขึ้นก็คือตัวสินค้าออร์แกนิค สินค้าที่ช่วยรักษาธรรมชาติ และช่วยประหยัดทรัพยากร ทั้งอาหาร เครื่องสำอาง ของใช้ในบ้าน ไปจนถึงรถยนต์ ส่วนแพ็กเกจจิ้งก็จะมีฉลากสินค้าใหญ่ เด่น เห็นได้ง่ายขึ้น แล้วบอกข้อมูลที่มีการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและดีกับผู้บริโภคในทุกขั้นตอนของการผลิต

 

 3. Convergence

หลังจากเข้าสู่ยุคของการใช้โทรศัพท์มือถืออย่างเต็มตัวในปี 2011 สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป เป็นการ Convergence สื่อหนึ่งสามารถเชื่อมโยงไปสู่อีกสื่อหนึ่ง เช่น ใช้โทรศัพท์มือถือสแกนหน้าแมกกาซีนเพื่อไปสู่สื่อออนไลน์ หรือการดูทีวีผ่านอินเทอร์เน็ตแทนที่การดูโทรทัศน์แบบเดิม ซึ่งการผสานสื่อนี้มีโทรศัพท์มือถือเป็นเครื่องมือเชื่อมโยง ด้วยเทคโนโลยี 3G ทำให้เกิดแพลตฟอร์มการสื่อสารแบบใหม่ๆ ที่สะดวก รวดเร็วกว่าเดิม นอกจากนี้ยังช่วยในการเล่นเกมที่อิงกับสถานที่ (Local Based Gaming) ซึ่งแบรนด์นำมาใช้เพื่อสร้างโอกาสให้ลูกค้าเข้าร้านมากขึ้น 

ด้วยเทรนด์นี้จะทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า Bring Digital to Life ในสื่อโฆษณา เช่น การถ่ายรูปเพื่อส่งไปปรากฏบนบิลบอร์ดแบบเรียลไทม์ หรือการถ่ายรูปป้ายบิลบอร์ดตามกติกาที่กำหนดในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งแล้วนำมารับรางวัลที่ร้านค้า

 

4. Sensexperience

จากเดิมที่การสร้างประสบการณ์ให้กับผู้บริโภคจะอาศัยแค่ประสาทสัมผัสทางตาเท่านั้นและไม่ได้สร้างความตื่นเต้นให้ผู้บริโภคอีกแล้ว แต่ในปี 2012 เทคโนโลยีจะเข้ามาช่วยสร้างสรรค์งานสื่อสารการตลาด สร้างโอกาสให้นักการตลาดดึดงดูดลูกค้าเข้ามา ณ จุดขาย โดยเทคโนโลยีที่น่าจับตามอง เช่น 3D, Hologram ซึ่งในประเทศไทยก็มีการนำมาใช้แล้ว เพียงแต่ยังไม่หวือหวาหรือดัดแปลงมาก่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง ปีหน้าก็คงจะพัฒนาทั้งไอเดียและเทคนิคการใช้งานได้ดีพอ

ด้วยแนวคิดเรื่องนี้ ผลงานโฆษณาในประเทศไทยก็จะมีเรื่องราวที่น่าสนใจขึ้น เช่น งาน Interactive Billboard ของสเปรย์ระงับกลิ่นกาย Lyxn ในอังกฤษที่ทำแคมเปญ Falling Angel ด้วยการ กำหนดพื้นที่หนึ่งในสถานีรถไฟวิคตอเรีย ลอนดอนให้ผู้เล่นยืน ซึ่งถ้าหากมีคนยืนอยู่ในบริเวณดังกล่าวก็จะเกิดปรากฏภาพนางฟ้าในจอเดินไปมาอยู่ข้างๆ ผู้เล่น สอดคล้องกับไอเดียที่ว่าใช้ Lyxn แล้วกลิ่นตัวหอมจนนางฟ้ายังอยากอยู่ใกล้ หรือตกแต่งสโตร์ ปรับแต่งหน้าร้านให้เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพื่อสร้างความแปลกให้ให้ผู้บริโภคสนุกเวลาช้อปปิ้ง ไปจนถึง In-Store Media ที่นำเอาภาพ Virtual เหล่านี้มาช่วยใน Fitting Room      

  พฤติกรรมของผู้บริโภคอีกอย่างที่มีผลต่อการสร้างสรรค์ผลงานโฆษณา คือ ความเคยชินของการสัมผัส (Touch) ที่ผ่านมาทางดีไวซ์อย่าง iPhone, iPad ปุ่มจะกลายเป็นเรื่องไม่เข้ากับยุคสมัยใหม่อีกต่อไป การสไวป์ (Swipe) แท็บ (Tab) และฟลิป (Flip) จะเข้ามาแทนที่การพลิกหน้ากระดาษและกดปุ่ม รวมไปถึงการใช้เทคโนโลยีจับการเคลื่อนไหวก็จะถูกนำมาปรับใช้ในกิจกรรมการตลาด สร้างประสบการณ์หลากหลายให้ผู้บริโภค ซึ่งเด็กรุ่นใหม่ที่เกิดมาในยุคนี้คุ้นเคยกับสัมผัสแบบนี้ และสำหรับนักการตลาดการลงทุนในเทคโนโลยีเหล่านี้เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะในอนาคตไม่เกิน 10 ปี ประชากรกลุ่มนี้ก็จะอยู่ในช่วงอายุที่เริ่มมีกำลังซื้อและรู้จักตัดสินใจเอง