กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา มองว่าค่าเงินบาทในช่วงสิ้นปีจะแข็งค่าขึ้นที่ราวๆ 33.75 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยคาดการณ์จากเรื่องของปัจจัยเศรษฐกิจจีนฟื้นตัว ได้แรงบวกจากการท่องเที่ยว และรวมถึงการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐที่เหลืออีก 1 ครั้ง
รุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวางแผนโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวถึงปัจจัยของค่าเงินหลายสกุลในเอเชีย รวมถึงค่าเงินบาทไทย ซึ่งนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาค่าเงินบาทไทยอ่อนค่า 1% ขณะที่สกุลเงินของอินโดเงินแข็งค่า 3.84% รูปีอินเดียแข็งค่า 0.92% แล้วก็เปโซของฟิลิปปินส์ 0.89%
ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ เธอได้มองถึงเรื่องนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) โดยอ้างอิงข้อมูลจาก Bloomberg ซึ่งนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าดอกเบี้ยสหรัฐฯ เฉลี่ยล่าสุดอยู่ที่ 5.39% ซึ่งในช่วงที่ผ่านมานับตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมาค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่ามาโดยตลอด เธอได้กล่าวว่าผลกระทบยังส่งผลต่อค่าเงินบาทให้อ่อนค่าในช่วงที่ผ่านมาด้วย
โดยกลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ของธนาคารกรุงศรีอยุธยามองว่า Fed จะยังไม่ลดดอกเบี้ยในตอนนี้ และมองว่าค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่า แต่ความเปราะบางนอกสหรัฐฯ ยังเป็นปัจจัยเสี่ยง
ขณะที่ค่าเงินหยวนของจีน เธอได้อธิบายว่าเศรษฐกิจแดนมังกรนั้นมีความกังวลจากนักลงทุนในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ค่าเงินอ่อนค่า โดยการอ่อนค่าล่าสุดนั้นมากกว่า 7.1 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐแล้ว และเมื่อเทียบกับสกุลอื่นๆ ในเอเชียอย่าง ค่าเงินรูเปียห์ ค่าเงินเปโซ ค่าเงินบาท ค่าเงินหยวนนั้นอ่อนค่าอย่างมาก มองว่าเศรษฐกิจจีนยังอ่อนแอนั้นอาจทำให้จีนอาจมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาได้หลังจากนี้
ทางด้านค่าเงินเยน ธนาคารกลางญี่ปุ่นยังใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายและใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งสวนทางกับธนาคารกลางของประเทศอื่นที่ปรับขึ้นดอกเบี้ย ทำให้ค่าเงินเยนอ่อนค่า เธอมองว่าเมื่ออัตราดอกเบี้ยทั่วโลกเริ่มคงตัว เธอมองว่าค่าเงินเยนจะกลับมาแข็งค่าอีกครั้ง
ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวางแผนโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ยังมองหลังจากนี้ว่าธนาคารกลางประเทศพัฒนา เช่น ยุโรป อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ยังกดเงินเฟ้อให้ได้โดยการขึ้นดอกเบี้ย และจะทำให้อัตราดอกเบี้ยยังคงสูงต่อไป โดยคาดว่า ธนาคารกลางยุโรป และธนาคารอังกฤษ อาจขึ้นดอกเบี้ยได้ 2 ครั้ง และ Fed เหลือการขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง
มองค่าเงินบาทกับอัตราดอกเบี้ยของไทย
รุ่ง ยังมองว่านี้สินทรัพย์สกุลเงินบาท (เช่น หุ้น ตราสารหนี้) นั้นขาดความน่าสนใจ โดยเธอมองว่านักลงทุนไม่ตระหนกกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดการเงินของไทย แต่บรรยากาศนั้นดูซึมลง ท่ามกลางต้นทุนการเงินที่เพิ่มมากขึ้น สินทรัพย์อื่นมีทางเลือกมากกว่า เช่น หุ้นเทคสหรัฐ หุ้นญี่ปุ่น หรือแม้แต่สินทรัพย์อย่างน้ำตาล ฯลฯ ส่งผลทำให้นักลงทุนย้ายเม็ดเงินไปลงทุนสินทรัพย์อื่น
ขณะที่เศรษฐกิจไทย ทางธนาคารกรุงศรีอยุธยามองว่า GDP ในปีนี้จะเติบโตที่ 3.3% ส่งออกมองโตแค่ 0.5% เท่านั้น ขณะที่ความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยนั้นมีทั้งเรื่องค่าครองชีพที่สูง ผลกระทบจากเอลนีโญ่ ดอกเบี้ยทั่วโลกที่ยังสูง และยังมีความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ในส่วนของแง่ดีคือภาคการท่องเที่ยวของไทยยังเติบโตได้
ทางด้านนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย เธอมองว่าแบงก์ชาติอาจขึ้นดอกเบี้ย เพื่อที่จะได้มีขีดความสามารถในการทำนโยบายด้านการเงิน (Policy Space) ขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยฟื้นตัวดีขึ้น โดยได้ผลดีจากภาคการท่องเที่ยว อย่างไรก็ดีต่างชาติยังไม่ Flow เข้าไทย
กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา มองว่าค่าเงินบาทมีแนวโน้มผั