เลือกวิธีลงทุนอย่างไรให้สร้างกำไรที่ยั่งยืน​

ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth
เป็นเหมือนกันไหมครับเมื่อตอนเราเด็กๆ เรามีความสุขกับการหยอดเงินในกระปุกออมสินให้เต็ม แต่พอโตขึ้นมาหน่อยก็ชอบมองเห็นตัวเลขในบัญชีเงินฝากที่โตขึ้นเรื่อยๆ แต่ทำไมพอรู้ตัวอีกทีเงินฝากที่มีกลับดูไม่เยอะเหมือนเมื่อก่อน

คำตอบคือเงินเฟ้อครับ สิ่งที่ทำให้เงินสดที่คุณถืออยู่มีมูลค่าลดลงไปเรื่อยๆ เมื่อ 20 ปีก่อนคุณอาจจะซื้อข้าวผัดกะเพราไข่ดาวจานละ 15 บาท แต่เดี๋ยวนี้ 15 บาทอาจจะได้แค่ข้าวสวยกับไข่ดาวหนึ่งฟอง

นั่นเป็นเพราะการเลือกที่จะ “อยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย” ไม่เคยรู้เลยว่าเราสามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้ด้วยการลงทุนครับ

คนส่วนมากมองว่าการลงทุนเป็นเรื่องไกลตัวไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร กลัวความเสี่ยงของการลงทุนจะทำให้เงินต้นหายไป สุดท้ายก็ทิ้งเงินก้อนนั้นไว้เฉยๆ ฝากธนาคารไปเรื่อยๆ โดยไม่เคยรู้เลยว่า

“การไม่ลงทุนนั้นแหละคือสิ่งที่เสี่ยงที่สุด”

แต่ไม่ใช่ว่าลงทุนอะไรก็เหมือนกันนะครับ คุณต้องลงทุนในสินทรัพย์ที่คุณมั่นใจได้ว่าจะเพิ่มมูลค่าขึ้นเรื่อยๆ ในระยะยาวโดยจำกัดความเสี่ยงให้น้อยที่สุดเท่าที่จะรับได้

ลงทุนอะไรดี

ในบรรดาสินทรัพย์ยอดนิยมอย่างหุ้น พันธบัตร ทองคำ และเงินฝาก คุณว่าสิ่งไหนจะทำให้เงินของคุณเติบโตได้มากที่สุดครับ

แม้ว่าภาวะตลาดลงทุนในตลาดหุ้นเวลานี้อาจจะดูไม่สดใสเท่าที่ควรโดยเฉพาะตลาดหุ้นไทย แต่จากสถิติที่ทางทีมงานจิตตะเวลธ์เคยรวบรวมไว้พบว่า ในระยะยาวเวลา 36 ปี (ระหว่างปี 2518-2565) หากคุณไปลงทุนในทองคำหน่วยละ 178 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2518 มาถึงปี 2565 ราคาทองคำโลกเพิ่มขึ้นเป็น 1,926 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับคุณจะได้ผลตอบแทน 1,082.02% แต่ในปี 2518 คุณเลือกที่จะลงทุนในตลาดหุ้นไทยมาจนถึงปี 2565 คุณจะได้รับผลตอบแทนถึง 1,884% ดังนั้น หุ้นจึงเป็นทรัพย์สินที่สร้างผลตอบแทนได้สูงที่สุดในระยะยาว

ดังนั้นถ้าอยากเพิ่มมูลค่าของเงินให้เติบโตได้ดีกว่าไปฝากธนาคารทิ้งไว้เฉยๆ คุณมีทางเลือกอยู่เพียง 2 ทางเท่านั้นครับ คือซื้อหุ้นกับซื้อพันธบัตร

สินทรัพย์ทั้ง 2 นี้ให้ผลตอบแทนไม่เท่ากัน ความเสี่ยงก็ไม่เท่ากัน หุ้นให้ผลตอบแทนสูงกว่าแต่ก็แลกมาด้วยความผันผวนที่มากกว่า ส่วนพันธบัตรให้ผลตอบแทนต่ำกว่าแต่ความผันผวนก็น้อยกว่าเช่นกัน จะเลือกลงทุนอย่างใดอย่างหนึ่งหรือลงทุนทั้ง 2 อย่าง ผลลัพธ์ต่างกันแน่นอนครับ

เพราะฉะนั้นคำนวณให้ดีก่อนครับว่าเป้าหมายการลงทุนของคุณคืออะไร ต้องการผลตอบแทนเท่าไหร่ และรับความเสี่ยงได้มากแค่ไหน

ลงทุนเท่าไหร่ดี

การจัดสัดส่วนการลงทุนขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่แต่ละคนจะรับได้ครับ

ถ้ายังเป็นหนุ่มสาวมีเวลาให้ลงทุนอีกนานอย่างน้อย 10 ปีสามารถหาเงินมาทดแทนส่วนที่อาจจะสูญเสียไปได้ทุกเมื่อรับความเสี่ยงได้มากกว่า อาจจะเลือกลงทุนในหุ้น 80% และพันธบัตร 20% หรืออาจจะลงในหุ้นหมดเลยก็ได้ เพื่อให้เงินเติบโตได้สูงสุดในระยะยาว

ส่วนผู้สูงวัยที่เกษียณแล้ว แน่นอนว่ารับความเสี่ยงได้น้อยกว่า อาจจะเลือกลงทุนหุ้น 40% และพันธบัตร 60% หรือจะ 50:50 ก็แล้วแต่ความต้องการของแต่ละคน

ต้องยอมรับว่าถ้าคุณเน้นเงินเติบโตมากกว่ารักษาเงินต้น การลงทุนในหุ้นเป็นสัดส่วนเยอะๆ จะช่วยให้คุณไปถึงฝั่งฝันได้ง่ายกว่า

ยิ่งคุณลงทุนในหุ้นด้วยหลักการที่ดีและวิธีที่ถูกต้อง คุณก็สามารถลดความเสี่ยงของการลงทุนในหุ้นไปได้เยอะเลยครับ

เลือกหุ้นอย่างไรปลอดภัยกว่า

ลงทุนในตลาดหุ้นก็เหมือนกับลงทุนในธุรกิจต่างๆ เหมือนกับว่าเราเป็นเจ้าของธุรกิจนั้นๆ ตามสัดส่วนจำนวนหุ้นที่เรามีโดยที่เราจะได้รับผลตอบแทนจากกำไรที่เติบโตขึ้นและเงินปันผลที่จ่ายออกมาตามสัดส่วนการลงทุน

ถ้าดูดีๆ แล้วผลตอบแทนจากตลาดหุ้นในระยะยาวเป็นผลตอบแทนจากธุรกิจที่เติบโตขึ้นเป็นหลัก (กำไร + ปันผล) ไม่เกี่ยวกับการเก็งกำไรในตลาดหุ้นรายวัน หมายความว่าเราลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหุ้นทำให้เรา “ลงทุนอย่างสบายใจกำไรอย่างยั่งยืน” ตราบใดที่เศรษฐกิจยังเติบโตได้ธุรกิจในตลาดหุ้นยังคงมีกำไรและจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ ไม่ต้องทำอะไรเงินลงทุนก็จะยังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งลงทุนนานมากเท่าไหร่เงินก็จะยิ่งเติบโตอย่างมหัศจรรย์มากขึ้นเท่านั้นครับ

คาดหวังกับตลาดหุ้นได้มากแค่ไหน

มองภาพตลาดหุ้นให้ยาวขึ้นเกือบร้อยปีจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเงินลงทุนจะเติบโตไปเรื่อยๆ ผ่านร้อนผ่านหนาวจากวิกฤตต่างๆ บนโลกใบนี้

ดูผลตอบแทนตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P 500) เป็นเวลาทั้งหมด 95 ปีตั้งแต่ปี 2471 ถึงปี 2565 จะพบว่าตลาดหุ้นสหรัฐให้ผลตอบแทนประมาณ 9.64% ต่อปีแบ่งออกเป็น

  • ผลตอบแทนจากการปรับขึ้นของดัชนี 85% ต่อปี
  • ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่จ่ายออกมา 79% ต่อปี

ข้อมูลจาก S&P Capital IQ

ระยะเวลา 95 ปีนี้น่าจะครอบคลุมการลงทุนทั้งชีวิตของทุกๆ คนที่ผ่านมาแล้วทุกวิกฤต ทั้งฟองสบู่ดอทคอม ต้มยำกุ้งเศรษฐกิจตกต่ำ เงินเฟ้อสูง รวมไปถึงสงครามโลก ดังนั้นแล้วสบายใจได้เลยครับว่าถ้าอิงกับการลงทุนในธุรกิจอย่างแท้จริงแล้วตลาดหุ้นจะให้ผลตอบแทนในระยะยาวที่ดีสุดอยู่เสมอครับ

อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นไม่สามารถคาดเดาได้ในระยะสั้นแต่คาดการณ์ผลตอบแทนได้อย่างแม่นยำในระยะยาว

คุณสามารถสร้างเงินให้งอกเงยในตลาดหุ้นได้แน่นอน เพียงแค่ลงทุนในหุ้นทั้งตลาดและถือเป็นระยะเวลาที่นานพอ

4 วิธีเริ่มต้นลงทุนในหุ้น

วิธีลงทุนนั้นมีอยู่หลายแบบด้วยกันครับขึ้นอยู่กับความถนัดของแต่ละบุคคล รวมไปถึงผลตอบแทนที่คาดหวังไว้ ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ คุณเหมาะกับวิธีไหนเลือกด้านล่างนี้ได้เลยครับ

1. ลงทุนในกองทุนรวม SET50

กองทุนนี้จะกระจายความเสี่ยงลงทุนในหุ้นที่มีมูลค่าตลาดสูงสุด 50 อันดับแรกในตลาดหุ้นไทย ซึ่งผลตอบแทนก็จะได้ใกล้เคียงกับตลาด 8-10% ที่สำคัญก่อนซื้อให้เลือกกองทุน SET50 ที่คิดค่าธรรมเนียมต่ำที่สุดครับ เพราะยิ่งค่าธรรมเนียมต่ำเท่าไหร่ผลตอบแทนก็จะยิ่งมากขึ้นด้วยครับ

2. ลงทุนด้วยตัวเองแบบ Value investing

เน้นลงทุนตามพื้นฐานของกิจการ เลือกบริษัทที่คุณภาพธุรกิจดีมีราคาเหมาะสม ให้มั่นใจว่ากิจการของบริษัทจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ มีความแข็งแกร่งในระยะยาว แล้วราคาหุ้นก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เองครับ ทำให้ได้รับกำไรมากขึ้น

ยิ่งถ้าเราคัดเลือกหุ้นดี เลือกบริษัทที่น่าจะให้ผลตอบแทนมากกว่า 10% มาลงทุนผลตอบแทนระยะยาวที่คุณจะได้รับดีกว่าการลงทุนทั้งตลาดแน่นอน

นักลงทุนเก่งๆ อย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ ก็ใช้หลักการลงทุนนี้ทำผลตอบแทนได้ประมาณ 20% ต่อปี เป็นเวลานานกว่า 50 ปี เรียกได้ว่าเป็นนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกเลยก็ได้ครับ เคล็ดลับการลงทุนที่บัฟเฟต์พูดถึงเสมอก็คือ “จงลงทุนในธุรกิจที่ดีในราคาที่เหมาะสม”

แต่ต้องยอมรับว่าลงทุนด้วยวิธีนี้อาจแลกมาด้วยเวลา เพราะการศึกษาวิเคราะห์งบอ่านแผนธุรกิจและคอยคัดเลือกหุ้นดีราคาไม่แพงเข้าพอร์ตอยู่เสมอๆ จะต้องมีวินัยที่เคร่งครัด ตัดสินใจด้วย เหตุผลและควบคุม อารมณ์ได้ไม่ใช่สิ่งที่ทำกันได้ง่ายๆ โดยเฉพาะเมื่อมองว่าเราจะต้องลงทุนด้วยวิธีนี้ไปอีก 10 ปี เมื่อไหร่ที่เราหยุดลงทุนเงินเราก็จะหยุดเติบโตไปด้วยครับ

3. ลงทุนตามแนวทาง QVI (Quantitative Value Investing)

การลงทุนที่รวมเอาวิธีที่ 1 และ 2 เข้าด้วยกันโดยแทนที่จะลงทุนในหุ้นทั้งตลาดแค่คัดกรองหุ้นตามตัวเลขทางการเงินเพื่อเลือกลงทุนใน “หุ้นดีราคาถูก” กว่าหุ้นในตลาดโดยรวม จากนั้นกระจายความเสี่ยงการลงทุนไปยังหลายๆ หุ้นคอยปรับพอร์ตตามรอบเวลาที่กำหนดเพื่อให้เรามีหุ้นดีราคาถูกอยู่ในพอร์ตทุกๆ ปีครับ

การลงทุนแบบ QVI มีผู้พิสูจน์มามากมายครับว่าสามารถให้ผลตอบแทนที่เหนือกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดในระยะยาว ถ้าเรียงลำดับหุ้นที่น่าลงทุนตามตัวเลขงบการเงินที่สำคัญๆ จากนั้นเลือกลงทุนในหุ้นที่ยังราคาไม่แพง

ในปัจจุบันวิธีนี้ค่อนข้างทำได้ง่ายแล้วครับถ้าเทียบกับสมัยก่อน เพราะว่ามีข้อมูลงบการเงินของหุ้นครบถ้วน มีเทคโนโลยีที่วิเคราะห์และจัดอันดับหุ้นน่าลงทุนได้ตลอดเวลา จึงทำให้วิธีนี้ได้รับความนิยมจากนักลงทุนมากขึ้นเรื่อยๆ

4. ลงทุนตาม Jitta Ranking

Jitta ก็มีหลักการลงทุนที่ได้รับการพิสูจน์เป็นที่เรียบร้อย โดยเลือกลงทุนในหุ้นที่น่าลงทุนที่สุดตาม Jitta Ranking  30 อันดับแรกในแต่ละปี และปรับพอร์ตปีละ 1 ครั้ง ผลตอบแทนที่เราจะได้รับใน 10 ปีล่าสุดเทียบกับตลาดหุ้นในแต่ละประเทศจะให้ผลตอบแทนเหนือกว่าผลตอบแทนของตลาดหุ้นในทุกประเทศ และเมื่อดูค่าเฉลี่ยผลตอบแทนเฉลี่ยของทั้ง 27 ประเทศนั้น Jitta Ranking จะทำผลตอบแทนได้ 12.43% ต่อปีมากกว่าผลตอบแทนตลาดหุ้นที่ 9.24% ต่อปีครับ

แน่นอนว่าบางปี Jitta Ranking อาจจะทำผลตอบแทนได้มากกว่าหรือน้อยกว่าตลาดอยู่มากเพราะว่ามีเลือกลงทุนหุ้นน้อยตัวกว่า แต่ในระยะยาวแล้วถ้าธุรกิจที่เราเลือกมามีการเติบโตที่สูงกว่าตลาดโดยรวมผลตอบแทนในระยะยาวก็จะมากกว่าตลาดหุ้นโดยรวมได้เองครับ

สำหรับใครที่ต้องการ “ลงทุนอย่างสบายใจกำไรอย่างยั่งยืน” ด้วยการลงทุนตาม Jitta Ranking แบบอัตโนมัติเลยก็สามารถให้ระบบจัดการพอร์ตอัตโนมัติของ Jitta Wealth ช่วยบริหารจัดการให้ได้ครับ

การลงทุนไม่ใช่เรื่องยากและเสี่ยงอย่างที่คิด สิ่งที่ควรกังวลมากกว่าคือ การพลาดกำไรระยะยาวจากการไม่ลงทุนอะไรเลยเพราะกลัวความผันผวนระยะสั้นของตลาดมากเกินไป

ลองศึกษาข้อมูลสักหน่อยก็จะเจอวิธีการหลายแบบที่นำไปใช้ลงทุนแบบสบายๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าเงินให้เติบโตได้ด้วยผลตอบแทนทบต้นที่แสนมหัศจรรย์ ยกตัวอย่างเช่นการลงทุนในตลาดหุ้นไทยตลอด 43 ปีที่ผ่านมาด้วยผลตอบแทน 11.87% ต่อปี เงินลงทุนของเราจะเพิ่มขึ้นถึง 124 เท่า เงิน 1 ล้านบาทจะกลายเป็น 124 ล้านบาทโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลยเพียงแค่ลงทุนให้ถูกต้องและลงทุนให้นานพอครับ

เชื่อเถอะครับว่าการลงทุนไปเรื่อยๆ เป็นระยะเวลานานๆ แล้วผลตอบแทบทบต้นจะสร้างความมั่งคั่งให้กับเราเองครับ