กองทุน S&P500 ETF ประตูบานแรกสู่การลงทุนระยะยาว

โดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth
สำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ที่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นลงทุนอย่างไรให้ปลอดภัยและสร้างผลตอบแทนได้ระยะยาว ผมอยากแนะนำเครื่องมือการลงทุนหนึ่ง ที่สุดแสนจะคลาสสิกและเรียบง่าย ที่สำคัญไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัย ก็ยังเป็นที่นิยมอย่าง ‘การลงทุนเชิงรับ’ (Passive Investment) ที่คุณก็สามารถเริ่มลงทุนได้ เพียงเลือกสินทรัพย์ที่ลงทุนอิงดัชนีและมีค่าธรรมเนียมต่ำ เพราะจัดเป็นการลงทุนระยะยาวในสินทรัพย์ ที่มีการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม และมีการซื้อขายน้อยครั้งทำให้ค่าธรรมเนียมไม่สูงเกินไป

และนั่นก็ทำให้ก็การลงทุนเชิงรับยังคงอยู่คู่ตลาดและได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ซึ่งหนึ่งในกองทุนยอดนิยมที่ไม่เคยตกเทรนด์อย่าง S&P500 ETF ก็เป็นสินทรัพย์อ้างอิงที่ได้รับความนิยมและเป็นถูกพูดถึงเสมอเมื่อพูดถึงการลงทุนเชิงรับ

มาถึงตรงนี้ อาจจะมีใครเริ่มงง ว่าเจ้า S&P 500 คืออะไร และ ETF อีกล่ะ

มาครับ ผมอยากขอทบทวนความเข้าใจสักเล็กน้อย

S&P 500 หรือ Standard & Poor’s 500 เป็นดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ประกอบไปด้วยบริษัทที่ใหญ่ที่สุด 500 แห่งที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นดังกล่าว ซึ่ง 500 บริษัทเหล่านี้ก็ครอบคลุมกว่า 80% ของมูลค่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้งหมดไปแล้ว

ETF หรือ Exchange Traded Funds คือ กองทุนที่มีนโยบายลงทุนตามดัชนีต่างๆ ที่ใช้อ้างอิง เพื่อทำผลตอบแทนให้ใกล้เคียงการเคลื่อนไหวของดัชนีนั้นๆ มากที่สุด โดยสามารถซื้อขายหน่วยลงทุนในตลาดได้เหมือนหุ้น จึงกลายเป็นเครื่องมือการลงทุนที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ในหมู่นักลงทุนเชิงรับ (Passive Investment)

Etf
Photo : Shutterstock

พอจะนึกออกแล้วใช่ไหมครับ เจ้า S&P 500 ETF ก็คือ กองทุนรวมดัชนีที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ที่มีนโยบายสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิง S&P500 นั่นเอง ความน่าสนใจคือ เจ้า S&P 500 ETF ถือว่าเป็น ETF ตัวชี้วัดเศรษฐกิจโลกเลยก็ว่าได้ และไม่แปลกใจที่นักลงทุนทั่วโลกต่างให้ความสนใจ และเป็นหนึ่งใน ETF ที่นักลงทุนหลายคนมีติดพอร์ตเอาไว้

ไม่เว้นแม้แต่ปรมาจารย์ด้านการลงทุนเชิงรับ (Passive Investment) อย่าง Warren Buffett ก็ชื่นชอบการลงทุนในกองทุนดัชนี โดยเฉพาะในดัชนี S&P 500

แต่คุณรู้หรือไม่ว่า ในปัจจุบันมีกองทุน ETF มากถึงกว่า 800 กองที่มีนโยบายการลงทุนโดยอ้างอิงดัชนี S&P 500 โดยแต่ละ ETF มีความแตกต่างในด้านการบริหารจัดการและการคัดเลือกหุ้นที่จะเข้าไปลงทุน

เอาล่ะสิ แล้วถ้าจะลงทุน เราจะเลือกอย่างไร

อย่าเพิ่งเลิกลั่ก มาครับ ผมจะใหัเทคนิคกการเลือกลงทุน ว่าเราควรใช้เกณฑ์ใดในการพิจารณาลงทุนใน ETF

1. ดัชนีที่ใช้อ้างอิง

ดัชนีคือส่วนหนึ่งของตลาดหุ้น ยกตัวอย่างเช่น ดัชนี S&P500 เป็นหนึ่งในดัชนีที่อยู่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฉะนั้นก่อนที่คุณจะเลือกลงทุนใน ETF สักกอง คุณควรรู้ก่อนว่าคุณอยากลงทุนในดัชนีอะไร หรือมีความสนใจในอุตสาหกรรมใดเป็นพิเศษหรือไม่ เพื่อที่คุณจะสามารถตีกรอบหาดัชนีที่คุณต้องการได้ ก่อนที่คุณจะเลือก ETF ที่อ้างอิงมาจากดัชนีนั้นๆ ซึ่งจะแสดงให้เห็นอยู่ในชื่อของ ETF อยู่แล้ว

2. ผลตอบแทนใกล้เคียงดัชนีที่อ้างอิง

เมื่อคุณเลือกได้แล้วว่าจะลงทุนใน ETF ที่อ้างอิงดัชนีอะไร ก็ต้องมาดูต่อว่า ควรจะลงทุนใน ETF กองไหน เพราะแต่ละดัชนีก็มี ETF ที่อ้างอิงอยู่หลายกองเช่นกัน ดังนั้นสิ่งต่อมาที่เราจะใช้พิจารณาคัดเลือก นั้นก็คือ ผลตอบแทน ไม่ใช่ว่าผลตอบแทนจะต้องทำกำไรได้มากมาย แต่จะต้องทำได้ใกล้เคียงกับดัชนีที่ใช้อ้างอิง เพราะแม้ว่าจะทำผลตอบแทนได้เยอะ แต่ไม่ใกล้เคียงดัชนี ก็ถือเป็นความเสี่ยงอย่างนึงเช่นเดียวกัน

3. สภาพคล่องสูง

สภาพคล่องสูง คือ ถ้าวันนึงคุณไม่ต้องการ ก็ยังคงมีคนอื่นที่สนใจ ทำให้บริหารจัดการพอร์ตได้สะดวก ซึ่งสามารถดูได้จากจำนวน AUM (Asset Under Management) ยิ่ง AUM สูงยิ่งแสดงให้เห็นว่า ETF ตัวนั้นมีคนเข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมาก นอกจากจำนวน AUM แล้ว การมีปริมาณการซื้อขายต่อวันที่สูง และช่องว่างระหว่างราคาเสนอซื้อกับเสนอขายที่ต่ำ ก็สามารถสะท้อนให้เห็นได้ว่า ETF ตัวนั้นเป็นที่ต้องการมากแค่ไหน

4. ค่าธรรมเนียม

โดยพื้นฐานของ กองทุน ETF จะเป็นการลงทุนแบบ Passive fund ที่เน้นทำผลตอบแทนล้อไปตามดัชนีตลาด ค่าธรรมก็จะต่ำกว่าการลงทุนแบบ Active fund ที่พยายามเอาชนะตลาดอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ETF แต่ละกองก็จะมี อัตราค่าใช้จ่ายรวม (Expense Ratio) ที่แตกต่างกัน ยิ่งกองไหนมี Expense Ratio ต่ำ ก็จะยิ่งทำให้คุณได้ผลตอบแทนแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย

5. ระยะเวลา

แม้ผลตอบแทนในอดีตจะไม่สามารถการันตีผลตอบแทนในอนาคตได้ แต่ก็สามารถดูได้ว่า ETF กองนั้นบริหารเป็นยังไง ยิ่งเปิดตัวมานาน ก็แสดงให้เห็นว่าผ่านช่วงวิกฤตเศรษฐกิจมาแบบไหน ผลตอบแทนในช่วงนั้นเป็นอย่างไร เราก็สามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้ละเอียดยิ่งขึ้นด้วย

เอาล่ะครับ น่าจะพอได้ไอเดียกันบ้างแล้วนะครับ แต่ยังไม่จบครับ วันนี้ผมมีของแถม ด้วยการสปอย 4 กองทุน S&P 500 ETF ที่มีพื้นฐานที่ดี อยู่เหนือกาลเวลาให้คุณๆ ได้เลือกสรรเข้าพอร์ตลงทุนของคุณได้โดยสะดวก บอกเลยว่า แต่ละกองเปิดมาเป็นระยะเวลากว่า 20 ปี แต่ยังมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นทั้งนั้นครับ

Etf
Photo : Shutterstock

SPDR S&P 500 ETF Trust (SPY)

ชื่อ ETF : SPY

วันที่เปิดตัว : 22 มกราคม 2536 (30ปี)

อัตราค่าใช้จ่ายรวม : 0.095%

มูลค่า AUM : 413,148 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ผลตอบแทน Year to date : 20.55%

(ข้อมูล ณ วันที่ 5 กันยายน 2556)

ETF ตัวแรกที่หยิบยกขึ้นมาจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก SPY ซึ่งเป็น ETF กองแรกที่เปิดตัวในสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2536 เป็นระยะเวลากว่า 30 ปี ซึ่ง SPY ก็ยังคงทำผลงานได้ดีตลอดมา จนปัจจุบันก็ยังคงเป็น ETF ที่มี AUM มากที่สุดในโลก อีกทั้งยังมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันมากที่สุด อยู่ที่ราว 39,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แค่นั้นยังไม่พอ SPY ยังเป็น ETF หนึ่งในสองกองที่ถูกเลือกเข้าพอร์ต Berkshire Hathaway ของ Warren Buffett อีกด้วย

iShares Core S&P 500 ETF (IVV)

ชื่อ ETF : IVV

วันที่เปิดตัว : 15 พฤษภาคม 2543 (23ปี)

อัตราค่าใช้จ่ายรวม : 0.03%

มูลค่า AUM : 352,055 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ผลตอบแทน Year to date : 18.44%

(ข้อมูล ณ วันที่ 5 กันยายน 2556)

IVV ถือเป็นกองทุน ETF ที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจาก SPY โดยจุดเด่นคือ อัตราค่าใช้จ่ายรวมที่ถูกมาก เมื่อเทียบกับกองอื่นๆ ที่เราหยิบยกขึ้นมา โดย IVV เปิดมากว่า 23 ปี ผ่านช่วงวิกฤตเศรษฐกิจมามากมายเช่นกัน แต่ปัจจุบันก็ยังคงสามารถทำผลงานได้ดี และด้วยข้อได้เปรียบเรื่องค่าธรรมเนียม จึงทำให้ IVV เป็นที่สนใจของใครหลายๆ คน

iShares S&P 500 Growth ETF (IVW)

ชื่อ ETF : IVW

วันที่เปิดตัว : 22 พฤษภาคม 2543 (23ปี)

อัตราค่าใช้จ่ายรวม : 0.18%

มูลค่า AUM : 35,895 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ผลตอบแทน Year to date : 24.15%

(ข้อมูล ณ วันที่ 5 กันยายน 2556)

IVW เปิดตัวตามหลัง IVW เพียงไม่กี่วัน โดยเป็นการลงทุนในสินทรัพย์คล้ายๆ กัน แตกต่างกันที่นโยบายการลงทุนและการบริหารจัดการ โดย IVW จะเน้นลงทุนไปที่หุ้นกลุ่มเติบโตมากขึ้น แม้ปลายทางจะเป็นการทำผลตอบแทนให้ใกล้เคียงดัชนี แต่การเคลื่อนไหวของผลตอบแทนจะมีการเปลี่ยนแปลงขยับขึ้นลงมากกว่า แต่ก็พ่วงมาด้วยค่าธรรมเนียมที่สูงกว่า IVV อยากไรก็ตาม IVW ก็ยังคงมีข้อได้เปรียบในเรื่องของราคาที่ถูก ทำให้กลายเป็นที่สนใจของนักลงทุนไม่น้อย

Etf
Photo : Shutterstock

Invesco S&P 500 Equal Weight ETF (RSP)

ชื่อ ETF : RSP

วันที่เปิดตัว : 24 เมษายน 2546 (20ปี)

อัตราค่าใช้จ่ายรวม : 0.20%

มูลค่า AUM : 41,850 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ผลตอบแทน Year to date : 5.36%

(ข้อมูล ณ วันที่ 5 กันยายน 2556)

RSP เป็นอีกหนึ่งกองทุน ETF ที่เปิดตัวมานานตั้งแต่ ปี 2546 โดยเน้นการเติบโตเป็นหลัก ความน่าสนใจของ RSP ก็คือ การคัดเลือกสินทรัพย์ที่จะเข้าไปลงทุน จะมีการแบ่งสัดส่วนที่เท่าๆ กัน เฉลี่ยอยู่ที่ 0.20% ของแต่ละสินทรัพย์ที่ลงทุนอยู่ใน ETF ซึ่ง ETF กองอื่นๆ ส่วนใหญ่จะมีนโยบายที่ลงทุนในหุ้นแต่ละตัวโดยให้น้ำหนักไม่เท่ากัน โดยการถือหุ้นบางตัวในสัดส่วนที่สูง ทำให้การกระจ่ายความเสี่ยงและบริหารจัดการของ RSP ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ ซึ่งก็แลกมาด้วยค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้น

เป็นอย่างไรบ้างครับ ETF ทั้ง 4 กองที่เราหยิบยกมาแนะนำให้คุณ ล้วนแล้วแต่เป็น ETF ท็อปฟอร์มตลอดกาล เพราะล้วนพิสูจน์ตัวเองด้วยระยะเวลากว่า 20 ปี ที่พอจะทำให้อุ่นใจได้ว่า มีความแข็งแกร่งมากพอที่จะเผชิญอุปสรรคหรือวิกฤตใดๆ ก็ตาม

ในโลกการเงินปัจจุบันยังมีสินทรัพย์ที่น่าลงทุนรวมถึง ETF ดีๆ ที่คุณสามารถนำมาบริหารพอร์ตลงทุน รวมถึงใช้เป็นเครื่องมือในการนำพาคุณไปถึงเป้าหมายทางการเงินที่คุณวาดหวังไว้ในอนาคต หากคุณสนใจแนวทางการลงทุนและแสวงหาโอกาสในโลกการเงินที่ผมและทีมงานได้เตรียมข้อมูลที่น่าสนใจให้คุณสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ตลอดเวลา https://blog.jittawealth.com/