หลังจากจำกัดการส่งออกแร่สำคัญในการผลิตชิป ล่าสุด จีนได้ประกาศจำกัดการส่งออก กราไฟท์ ซึ่งเป็นแร่สำคัญในการผลิต แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า โดยอ้างถึงการปกป้องความมั่นคงของชาติ
กราไฟท์ ซึ่งเป็นการจัดเรียงตัวหนึ่งของคาร์บอน ถือเป็นองค์ประกอบสําคัญของการผลิตแบตเตอรี่สําหรับรถยนต์ไฟฟ้า และ จีนถือผู้ผลิตและส่งออกอันดับ 1 ของโลก โดยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 2 ใน 3 ของอุปทานทั่วโลก ตามข้อมูลของสหรัฐฯ และจีนถือเป็นผู้ปรับแต่งกราไฟท์มากกว่า 90% ของโลกให้ใช้ในขั้วบวกแบตเตอรี่อีวีเกือบทั้งหมด
ล่าสุด จีนได้ควบคุมการส่งออกกราไฟท์ โดยต้องเป็นผู้ที่จะส่งออกจำเป็นต้องขอใบอนุญาต การเคลื่อนไหวดังกล่าวนี้คล้ายกับการควบคุมการส่งออกโลหะที่สำคัญอีก 2 ชนิด ได้แก่ แกลเลียม และเจอร์เมเนียม ซึ่งแร่ทั้ง 2 เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตชิป ข้อจำกัดดังกล่าวนั้นทำให้ราคาแกลเลียม และเจอร์เมเนียมในตลาดโลกสูงขึ้นทันที
ตามข้อมูลจากศุลกากรของจีน ระบุว่า ประเทศที่นำเข้ากราไฟท์จากจีนเป็นอันดับต้น ๆ ได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา อินเดีย และเกาหลีใต้ อย่างไรก็ตาม บริษัทในสหรัฐฯ และยุโรปได้ลงทุนในการพัฒนากราไฟท์สังเคราะห์ ซึ่งอาจคิดเป็นเกือบ 2 ใน 3 ของตลาดขั้วบวกแบตเตอรี่อีวีภายในปี 2025 ตามการประมาณการจาก Benchmark Mineral Intelligence ขณะที่ผู้ผลิตรถยนต์ อาทิ เทสลาและเมอร์เซเดส ได้เร่งหากราไฟท์จากซัพพลายเออร์ที่ไม่ใช่ของจีน
อย่างไรก็ตาม จีนก็ถือเป็นผู้นำการผลิตกราไฟท์สังเคราะห์ โดยการส่งออกในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2023 เพิ่มขึ้น 45% ที่ผ่านมา กราไฟท์นั้นถูกนํามาใช้ในอุตสาหกรรมเหล็กเป็นหลัก จนกระทั่งเมื่อตลาดรถอีวีเติบโต จนทำให้ความต้องการกราไฟท์นั้นพุ่งสูงขึ้นถึง 250% โดยกราไฟท์เป็นส่วนประกอบแบตเตอรี่อีวี ที่ใหญ่ที่สุดตามน้ําหนัก โดยโดยเฉลี่ยแล้วรถแต่ละคันใช้วัสดุ 50-100 กก. ในชุดแบตเตอรี่สําหรับขั้วบวก