คุยกับผู้บริหารของ NAOS ประจำประเทศไทย ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์เวชสำอางแบรนด์ดังอย่าง Bioderma ซึ่งแบรนด์ดังกล่าวมีชื่อเสียงโด่งดังในไทย ซึ่งผู้บริหารจะมาคุยถึงเรื่องกลยุทธ์บริษัท รวมถึงเรื่อง ESG และแผนธุรกิจในช่วงหลังจากนี้
หลายคนอาจรู้จักกับแบรนด์ไบโอเดอร์มา (Bioderma) ซึ่งเป็นเวชสำอาง ไม่มากก็น้อย โดยแบรนด์ดังกล่าวนั้นมีอายุมามากถึง 30 ปีแล้ว แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าบริษัทที่นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยนั่นก็คือ นาโอส (NAOS)
Positioning จะพาไปคุยกับ เภสัชกรหญิงวัลภา รัตนชัยพิพัฒน์ ผู้บริหาร บริษัท นาโอส (ประเทศไทย) จำกัด ถึงทิศทางบริษัทในช่วงหลังจากนี้ การนำแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาในประเทศไทย ซึ่งตลาดเวชสำอางในประเทศไทยยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง นโยบายของบริษัทในเรื่องของการดูแลสภาพแวดล้อม หรือแม้แต่โครงการด้านสังคมต่างๆ
รู้จักกับ NAOS สักนิด
วัลภาได้กล่าวถึง NAOS โดยบริษัทนั้นมีต้นกำเนิดจากฝรั่งเศส โดยบริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 1978 โดย ฌอง โนเอล โทเรล (Jean-Noël Thorel) เภสัชกรและผู้เชี่ยวชาญด้านชี
NAOS มีแบรนด์ในเครือบริษัทเช่น Bioderma และ Etat Pur เป็นต้น โดยบริษัทจะเน้นในเรื่องของผลิตภัณฑ์เหมือนกันคือ Ecobiology หรือชีวนิเวศวิทยาแห่งผิว ผลิตภัณฑ์หลักๆ คือสกินแคร์ ซึ่งบริษัทมองเป็น นิเวศวิทยาของผิว ซึ่งผิวของคนเรามีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น สารสื่อประสาท เซลล์ มีการทำงานหลายอย่าง ผิวทำงาน Dynamic มาก โดยผิวเป็นพื้นที่มากที่สุดของร่างกายและทำงานหนักมาก ทำให้บริษัทมองลึกลงไปว่า ผิวทำงานแบบสมดุลทำงานอย่างไร เช่น สิว เกิดจากอะไร สาเหตุแก้ต้นเหตุคืออะไร
ปัจจุบันบริษัทมีแบรนด์สินค้าที่วางขายในประเทศไทยคือ Bioderma ซึ่งเป็นเวชสำอาง มีขายทั้งในโรงพยาบาล หรือร้านขายยา ร้านค้าปลีกทั่วไป หรือแม้แต่ช่องทางออนไลน์
สำหรับผลิตภัณฑ์ Bioderma นั้นมีผลิตภัณฑ์ 5 กลุ่ม เช่น ผิวแพ้ง่าย กลุ่มผิวมัน เป็นสิวง่าย หรือกลุ่มผิวแห้งขาดน้ำ กลุ่มใช้กับเด็กจนถึงผู้สูงอายุ กลุ่มสินค้ากันแดด ซึ่งสินค้าเหล่านี้มีวางขายในไทย แต่ในต่างประเทศยังมีกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลเส้นผม หรือแม้แต่ผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ที่เป็นแผล
แบรนด์ Bioderma ในประเทศไทย วัลภา กล่าวว่าก่อนหน้านี้สินค้าได้รับความนิยมมาก่อนหน้านั้นแล้ว ผู้บริโภคบอกต่อด้วย แถมยังได้พลังของ Influencer ที่รีวิวให้ ทำให้สินค้าของแบรนด์นั้นได้รับความนิยม ทำให้ยอดขายในปี 2021-2022 เติบโตมากถึง 25% ต่อปี และยังมองตลาดในประเทศไทยยังเติบโตได้
เมื่อบริษัทปรับตัวกับช่วงโควิด
ผู้บริหาร บริษัท นาโอส (ประเทศไทย) จำกัด ยังได้กล่าวถึงการแพร่ระบาดของโควิดจากเดิมที่บริษัทได้เน้นช่องทางออฟไลน์เป็นหลัก ก็ต้องปรับตัวมาใช้ช่องทางออนไลน์มากขึ้น และมองว่าหลายครั้งเป็นจังหวะในการรุกธุรกิจด้านออนไลน์
เธอยังกล่าวว่าช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโควิด สินค้าของบริษัทมีขายใน Lazada ก่อนที่จะมีการเปิดร้านค้าแบบ Official Store ผ่าน Shopee
นอกจากนี้เธอยังกล่าวว่า สิ่งที่สำคัญอีกเรื่องคือการปรับตัวเร็ว รวมถึงการใช้ Social Media ช่วยด้วย และยังมีการเพิ่มบุคลากร เพิ่มงบด้านการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ หรือนำเทคโนโลยีมาใช้ ซึ่งการแพร่ระบาดของโควิดช่วยกระตุ้นให้ความสำคัญด้านดิจิทัลมาก
ล่าสุด NAOS ประเทศไทยได้เน้น TikTok Shop โดยมีกิจกรรมทางการตลาด หรือแม้แต่การไลฟ์ขายสินค้าของบริษัท หรือการทำ Brand Awareness โดยใช้ผ่านช่องทาง Youtube
ปัจจุบันสัดส่วนการขายปัจจุบันของบริษัทมาจากช่องทางออนไลน์ถึง 40% แล้ว ขณะที่เหลืออีก 60% เป็นช่องทางออฟไลน์
หลักดำเนินธุรกิจและ ESG
วัลภา ได้กล่าวว่าบริษัทมีหลักดำเนินธุรกิจ 3 คำได้แก่ Love และ Understanding รวมถึง Caring ซึ่งมองไกลกว่าเรื่องของคู่ค้า พันธมิตร หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การที่บริษัทแม่ตั้งอยู่ในฝรั่งเศส ผลิตภัณฑ์ของบริษัทนั้นอยู่ในกลุ่ม Cosmetics เน้นมาก ในเรื่องของความปลอดภัยของผู้ใช้
นอกจากนี้ NAOS ได้เน้นในเรื่องของ 3P ประกอบไปด้วย Product และ People แล้วก็ Planet เช่น ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ห้ามใช้สารอย่าง SLS ทำให้บริษัทต้องปรับสูตรตลอด วัลภายังได้ย้ำว่าไม่ใช่สารทุกตัวที่นำมาใช้ แต่ต้องปลอดภัยและจะไม่เลือกสารตัวใหม่ๆ เนื่องจากยังไม่มีผลทดสอบ ซึ่งการทดลองผลิตภัณฑ์ของ NAOS นั้นมีห้องทดลองโดยเฉพาะ และมีการทดลอง
ในเรื่องของ People หรือพนักงานนั้น NAOS เรียกพนักงานว่า NAOSIAN ดูแลพนักงานให้มีชีวิตที่ดี และให้มากกว่า เช่น เรื่องสุขภาพกายและใจ รวมถึงเรื่อง Governance คำหนึ่งที่ใช้กับ Stakeholders คือ Respect รวมถึงเรื่องจรรยาบรรณ
ผู้บริหารของ NAOS ประเทศไทย ยังได้เล่าถึง กำไรที่ NAOS ได้มาจะส่งต่อให้มูลนิธิเพื่อวิจัยเพื่อหานวัตกรรมใหม่ๆ ตอนนี้เน้นเรื่องเวชศาสตร์ชะลอวัย หรือเน้นการร่วมมือกับองค์กรการกุศล ที่ช่วยเหลือเด็กในเวียดนามกับกัมพูชา ที่ต้องการเรื่องการศึกษา อาหาร หรือแม้แต่โครงการช่วยเหลือชุมชนที่ขาดแคลนในอินเดีย
ในส่วนของ Planet หรือการดูแลโลก นั้นบริษัททำเรื่องของการใช้พลาสติกที่รีไซเคิลได้ 100% ภายใน 2025 เม็ดบีสต์สำหรับสครับหน้าที่จากเดิมเป็นพลาสติก เปลี่ยนเป็นเซลูโลส หรือแม้แต่การใช้ถุงรีฟิลเพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้กลยุทธ์การดูแลโลกยังรวมถึงการตั้งราคาให้ผลิตภัณฑ์ขนาดใหญ่มีราคาต่อหน่วยที่ถูกกว่า คุ้มค่ากว่า ซึ่งอาจประหยัดได้มากถึง 50-60%
วัลภาได้กล่าวว่า ในทวีปยุโรปเข้มงวดเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น หรือแม้แต่จากการกดดันของผู้บริโภค ทำให้บริษัทต้องปรับตัว ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหลายอย่างอาจทำให้ประการัง หรือพืช ได้รับผลกระทบจากสกินแคร์ หรือแม้แต่การดูแลระบบนิเวศวิทยาทางน้ำ
“อย่างของไทยยังไม่ได้ทำโปรเจ็คแนวนี้ (เหมือนยุโรป) ปัจจุบันทำงานร่วมกับองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ให้ทุนกับนิสิตคณะเภสัชศาสตร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยใช้เม็ดเงินราวๆ 5-10% ของกำไร ถ้ามีกำไรมากขึ้นก็จะส่งต่อให้สังคมมากขึ้นด้วย” เธอกล่าว
เธอชี้ว่าถ้าผู้บริโภคเลือกผลิตภัณฑ์ระหว่างไม่บอกว่ารักษ์โลก กับอยู่เฉยๆ ผู้บริโภคเลือกอันแรกมากกว่า หน่วยงานรัฐเป็นคนแรกๆ ที่ชัดเจน ถ้าเอกชนไม่เอาด้วยถือว่าเป็นความเชื่อมั่น แล้วทำไมไม่ทำวันนี้ อย่างน้อยๆ บอกกับผู้บริโภคได้แบบมีความภูมิใจ ถ้าไม่ทำคือเริ่มต้นอาจผิดกฎหมาย แถมผู้บริโภคอาจไม่เลือก
อนาคตของ NAOS ประเทศไทยหลังจากนี้
วัลภาได้กล่าวว่าในปี 2024 ที่จะถึงนี้อยากทำให้แบรนด์ Bioderma แข็งแรง มีกลุ่มสินค้าใหม่ ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากขึ้น เช่น ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับ ผิวมัน ผิวผสม เป็นต้น
นอกจากนี้ NAOS ยังมองเห็นเทรนด์การชะลอวัย หรือแม้แต่มองเรื่องของเทรนด์ Minimalism ซึ่งผู้บริโภคมองหาอะไรที่ชัดเจน มองอะไรที่พอดี ไม่มากไม่น้อย หรือแม้แต่ Personalize ที่เน้นสิ่งที่เฉพาะตัวมากขึ้น
ผู้บริหาร บริษัท นาโอส (ประเทศไทย) จำกัดยังได้กล่าวทิ้งท้ายว่าในช่วงประมาณปี 2025 อาจนำแบรนด์ลูกของ NAOS แบรนด์อื่นๆ เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยด้วย