ซิตี้ (Citi) สถาบันการเงินรายใหญ่อันดับ 3 ของสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศปลดพนักงานจำนวน 20,000 ราย หรือคิดเป็น 10% ของจำนวนพนักงานทั้งหมด ซึ่งแผนการดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในปี 2026 หลังจากที่ผลประกอบการในไตรมาสล่าสุดออกมาย่ำแย่สุดในรอบ 15 ปี
Citi สถาบันการเงินรายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ประกาศปลดพนักงานจำนวน 20,000 ราย หรือคิดเป็น 10% ของจำนวนพนักงานทั้งหมด และการปลดพนักงานครั้งนี้จะช่วยทำให้บริษัทสามารถลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องได้มากถึง 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐในระยะยาว
แผนการปลดพนักงานของ Citi จำนวน 20,000 ราย ตามหลังมาจากกระบวนการปรับโครงสร้างในรอบ 20 ปี โดยมีการทยอยปลดผู้บริหาร เพื่อลดความซับซ้อนขององค์กร และยังรวมถึงแผนล่าสุดในการนำธุรกิจในประเทศเม็กซิโกเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ จะทำให้พนักงานนั้นลดลงอีก 40,000 คน ซึ่งจะทำให้สถาบันการเงินรายนี้จะมีพนักงานเหลือ 180,000 ราย โดยแผนการดังกล่าวนี้จะแล้วเสร็จภายในปี 2026
ตัวแทนของ Citi ได้กล่าวกับ CNN ว่า แผนการปลดพนักงานนั้นเกิดขึ้นกับธุรกิจของ Citi ที่มีอยู่ทั่วโลก แต่ปฏิเสธที่จะแจกแจงตัวเลขตามทวีปต่างๆ ซึ่งสถาบันการเงินรายดังกล่าวจะมีค่าใช้จ่าย 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเกิดจากกระบวนการปลดพนักงานในช่วง 2 ปีหลังจากนี้
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ Citi ต้องออกมาปลดพนักงานชุดใหญ่ เนื่องจากผลประกอบการของสถาบันการเงินรายนี้ในไตรมาส 4 ของปี 2023 ขาดทุนถึง 1,800 ล้านเหรียญสหรัฐ จากการตั้งสำรองในส่วนต่างๆ ซึ่งตัวเลขดังกล่าวยังเป็นผลประกอบการที่แย่สุดในรอบ 15 ปีของสถาบันการเงินรายนี้
Jane Fraser ซึ่งเป็น CEO ของ Citi ได้ออกมากล่าวว่า ผลประกอบการในไตรมาส 4 ถือว่า “ผิดหวังมากที่สุด”
ในช่วงที่ผ่านมา CEO หญิงของ Citi พยายามแก้ไขปัญหาด้านกฎระเบียบที่หน่วยงานกำกับดูแลในสหรัฐอเมริกาได้สั่งให้สถาบันการเงินรายนี้ต้องแก้ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจัดการด้านความเสี่ยง การจัดการด้านข้อมูล ไปจนถึงการควบคุมภายในสถาบันการเงิน
ไม่เพียงแค่การแก้ปัญหาภายในองค์กรเท่านั้น แต่ราคาหุ้นของ Citi เมื่อเทียบกับสถาบันการเงินรายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ราคาหุ้นของ Citi ได้ปรับตัวลดลงสวนทางกับคู่แข่งรายอื่นที่มีราคาหุ้นเพิ่มขึ้น ทำให้ CEO รายดังกล่าวต้องสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนด้วย
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ CEO ของ Citi ต้องปรับโครงสร้างไม่ใช่แค่การปลดพนักงานเท่านั้น แต่ยังมีการขายธุรกิจในต่างประเทศออกไปเพื่อลดความเสี่ยง หรือแม้แต่การฟื้นฟูงบการเงินซึ่งจะทำให้สถาบันการเงินรายใหญ่อันดับ 3 ของสหรัฐฯ กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง
ที่มา – CBS News, CNN, Yahoo Finance