Estee Lauder ประกาศปรับโครงสร้างองค์กร ปลดพนักงาน 3,100 ตำแหน่ง เซ่นยอดขายในทวีปเอเชียลดลง

เคาน์เตอร์แบรนด์ Estee Lauder ในศูนย์การค้าสยาม พารากอน (Photo : Shutterstock)
เอสเต้ ลอเดอร์ ประกาศปลดพนักงานสูงสุด 3,100 ตำแหน่ง โดยสาเหตุสำคัญมาจากยอดขายในทวีปเอเชียที่ลดลง ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุที่เศรษฐกิจจีนชะลอตัว หรือแม้แต่ยอดขายตามสนามบินที่ลดลง รวมถึงบริษัทต้องการที่จะฟื้นฟูกำไรให้กลับมาเติบโตอีกครั้งภายในปี 2025-2026

ผู้ผลิตเครื่องสำอางหรูจากสหรัฐอเมริกาอย่าง เอสเต้ ลอเดอร์ (Estee Lauder) ประกาศปลดพนักงานสัดส่วนราวๆ 3-5% จากทั้งหมด 62,000 ตำแหน่งของพนักงานบริษัททั้งหมด โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวนี้ตามหลังมาจากการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อที่จะเพิ่มอัตราผลกำไรของบริษัท

คาดว่าพนักงานที่จะได้รับผลกระทบนั้นสูงสุดอยู่ที่ 3,100 ตำแหน่ง ซึ่งแผนการดังกล่าวบริษัทต้องการจะฟื้นฟูกำไรให้กลับมาเติบโตให้ได้ภายในปี 2025-2026 และเพื่อที่จะรองรับการเติบโตของรายได้ที่จะฟื้นตัวอีกครั้ง ขณะเดียว กันการปลดพนักงานจะช่วยให้บริษัทประหยัดค่าใช้จ่ายก่อนหักภาษีได้ราวๆ 300-500 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ Estee Lauder ต้องประกาศปลดพนักงานคือยอดขายในทวีปเอเชียลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศจีน ซึ่งถือว่าเป็นตลาดสำคัญของบริษัทฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่คาดไว้ จากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลงส่งผลต่อการจับจ่ายใช้สอย

รายได้ในประเทศจีนที่ลดลงนั้น บริษัทได้รายงานถึงยอดขายในช่วง 11.11 ช่องทางขายผ่าน Tmall ลดลง แต่ยอดขายผ่าน Douyin (TikTok ในจีน) เพิ่มขึ้น 2 เท่า ขณะที่ยอดขายรวมในจีนลดลง 7% แม้ว่าจะได้รายได้เพิ่มขึ้นจากฮ่องกงมาช่วยแล้วก็ตาม

อีกหนึ่งสาเหตุคือรายได้จากการขายเครื่องสำอางผ่านโซนสินค้าปลอดภาษีตามสนามบินในเอเชียลดลง ส่งผลต่อรายได้และกำไรของบริษัทเช่นกัน

ในผลประกอบการปี 2023 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวม 15,937 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยรายได้จากประเทศจีนมีสัดส่วนมากถึง 28% เกาหลีใต้มีสัดส่วน 11% ขณะที่ในประเทศอื่นๆ ในทวีปเอเชียมีสัดส่วนอยู่ที่ 21% ซึ่งรายได้จากทวีปเอเชียที่ลดลงได้ส่งผลต่อบริษัทอย่างมากในปีที่ผ่านมา

ปัจจุบันแบรนด์เครื่องสำอางที่อยู่ภายใต้เครือ Estee Lauder เช่น MAC, Clinique, Too Faced รวมถึง Bobbi Brown

แผนการปลดพนักงานยังทำให้ Estee Lauder คาดว่ากำไรบริษัทจะอยู่ที่ราวๆ 1,100-1,400 ล้านเหรียญสหรัฐ มากกว่าบริษัทคาดการณ์ในตอนแรกที่คาดว่าจะอยู่ที่ 800-1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่งผลทำให้ราคาหุ้นของบริษัทบวกเพิ่มขึ้นทันทีที่มีข่าวออกมา

ที่มา – Fox Business, The Guardian, Reuters