Apple โดนสหภาพยุโรปปรับเป็นเงินก้อนใหญ่เกือบ 70,000 ล้านบาท จากประเด็นผูกขาด App Store

ภาพจาก Unsplash
สหภาพยุโรปปรับเงิน Apple มากถึง 1,800 ล้านยูโร จากประเด็นผูกขาด App Store หลังจากที่ Spotify ได้ร้องเรียนการขัดขวางไม่ให้แจ้งผู้ใช้งานว่าสามารถจ่ายเงินค่าบริการจากนอกแพลตฟอร์มได้ ซึ่งเม็ดเงินค่าปรับดังกล่าวสูงกว่าที่คาดไว้

Apple ถูกสหภาพยุโรปปรับเป็นเงินมากถึง 1,800 ล้านยูโร หรือคิดเป็นเงินไทยเกือบ 70,000 ล้านบาท จากข้อหาที่ผูกขาด App Store และขัดขวางไม่ให้คู่แข่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริการ Music Streaming รายอื่นสามารถแจ้งผู้ใช้งานได้ว่าสามารถจ่ายเงินค่าบริการจากนอกแพลตฟอร์มได้

ปัจจุบัน Apple ห้ามแอปประเภท Music Streaming แจ้งผู้ใช้งาน iOS ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการสำหรับ iPhone และ iPad ว่าสามารถสมัครสมาชิกด้านนอกแอปที่มีราคาถูกกว่าการสมัครผ่านแอปใน iOS ได้ ซึ่งถ้าหากมีการสมัครผ่านแอปโดยตรงนั้นจะโดน Apple หักค่าธรรมเนียมเพิ่มอีก 30% ทำให้ผู้พัฒนาแอปหลายรายไม่พอใจ

ขณะเดียวกันค่าปรับดังกล่าวยังสูงกว่าที่หลายฝ่ายคาดไว้ ซึ่งในตอนแรกคาดว่าจะอยู่ที่ราวๆ 500 ล้านยูโรเท่านั้น

คำตัดสินดังกล่าวมาจากข้อกล่าวหาที่ Spotify ได้ร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการยุโรปถึงพฤติกรรมของ Apple ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เช่น การขวางไม่ให้อัปเดตตัวแอป เนื่องจากบริษัทให้ผู้ใช้งานรายใหม่สมัครสมาชิกนอกแอปฯ ของตัวเองจะได้ฟังเพลงฟรี 3 เดือนในราคา 0.99 เหรียญเท่านั้น

Margrethe Vestager กรรมาธิการการแข่งขันของคณะกรรมาธิการยุโรปกล่าวว่า Apple ใช้ตำแหน่งที่โดดเด่นในทางที่ผิดมานานนับ 10 ปี หลังจากนี้ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ จะต้องยกเลิกข้อจำกัดที่มีอยู่ทั้งหมด

รายได้จาก App Store นั้นถือว่าเป็นรายได้สำคัญของ Apple ปัจจุบันรายได้ในส่วนดังกล่าวนั้นมีสัดส่วนมากกว่า 20% ของรายได้รวมของบริษัทแล้ว

ไม่ใช่แค่สหภาพยุโรปเท่านั้นที่มองถึงเรื่องการผูกขาด App Store แต่หน่วยงานกำกับดูแลหลายประเทศเองเริ่มบีบ Apple หรือแม้แต่ Google ให้เปิดเสรีมากขึ้น เนื่องจากมองว่าผู้เล่นรายอื่นควรที่จะเข้ามาแข่งขันได้ เช่น ในกรณีของญี่ปุ่น เป็นต้น

ทางฝั่งของ Apple กล่าวว่าจะอุทธรณ์คำตัดสินดังกล่าว และมองว่าผลการตัดสินนั้นผู้ที่ได้ประโยชน์มากที่สุดคือฝั่งของ Spotify ซึ่งได้เข้าพบกับคณะกรรมาธิการยุโรปมากถึง 65 ครั้งในช่วงที่ผ่านมา และมองว่าบริษัทไม่ได้ผูกขาดบริการ Music Streaming เนื่องจาก Spotify มีส่วนแบ่งทางการตลาดมากถึง 56% ในทวีปยุโรป

ที่มา – BBC, CNN, The Guardian