แม้ความฮิตของ Instagr.am และแอพฯ แต่งภาพของไอโฟนจะทำได้ง่ายเพียงปาดปลายนิ้วผ่านทัชสกรีน หรือแม้ข่าวใหญ่อย่าง Kodak ยื่นล้มละลาย จะทำเอาใจหายใจคว่ำว่าฟิล์มจะสูญพันธุ์ แต่ทุกการเปลี่ยนแปลงก็ดูเหมือนว่าไม่สามารถเบรกความเบ่งบานของสังคมอนาล็อกอย่าง โลโม่ ได้ มนต์ขลังแห่งการลั่นชัตเตอร์ยังคงทวีความร้อนแรงในกระแสความนิยม จากประชากรโลโม่หลักหมื่นในเมืองไทยเมื่อปี 2-3 ปีก่อน ก็เพิ่มขึ้นเป็นหลักแสน Lomography Embassy Shop ในซอยเล็กๆ ย่านพร้อมพงษ์ จึงถึงเวลาต้องขยับขยายสู่พื้นที่ใหม่ๆ ในชื่อ “Lomography Gallery Store” กลายเป็นโลโม่สาขาแรกของโลกที่เปิดช็อปในศูนย์การค้า ภายใต้โจทย์แห่งการคงไว้ซึ่งโลกอนาล็อก อิสระในมุมมอง และการถ่ายทอดอย่างสร้างสรรค์
ก่อนให้สัมภาษณ์กับ POSITIONING “มณีแดง กุลทวีทรัพย์” ผู้จัดการทั่วไปโลโม่กราฟีประเทศไทยและทูตโลโม่ประจำประเทศไทย ตรวจดูความเรียบร้อยของดิสเพลย์ที่ส่งตรงจากบริษัทแม่ ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เธอเล่าว่าการย้ายฐานบัญชาการเข้าห้างในครั้งนี้ไม่ได้โฟกัส “จุดคุ้มทุน” เป็นหลัก หากแต่เป็นการมองหาโอกาสใหม่บน “ความเสี่ยงอันหอมหวาน”
“เปิดช็อปในห้างเพราะส่วนหนึ่งแนวโน้มการขายกล้องโลโม่มีแนวโน้มที่ดีอย่างต่อเนื่อง ดูจากยอดขายที่เป็นอันดับหนึ่งของตลาดกล้องฟิล์มที่ใช้งานง่ายหรือ Toy Camera สะท้อนว่าคนยังต้องการความต่าง และการมีร้านในห้าง ให้คนเข้าถึงมากขึ้น ทำให้เราได้ทดลองตลาด ว่ายังมีกลุ่มเป้าหมายอื่นเพิ่มเติมได้อีกรึเปล่า นี่อาจเป็นโอกาสให้เราได้เสนองานอดิเรกใหม่ให้กับเขา” มณีแดงตั้งเป้า
กระบวนการหาโลเกชั่นสำหรับการขยับขยายจึงเริ่มต้นและลงตัวที่ทำเลดีบนชั้น 4 สยามดิสคัฟเวอรี่ มณีแดงมองว่า “เป็นทำเลที่เหมาะกับโลโก้ เพราะช็อปโลโม่ในต่างประเทศ ก็เป็นสตรีทช็อป ชาเนล หลุยส์ วิตตองที่มีสโตร์ริมถนน แต่อินเตอร์เนชั่นแนลแบรนด์ที่มาบ้านเราเข้าห้างกันหมด เพราะคนไทยนิยมเดินห้าง ชั้น 4 ของสยามดิสคัฟเวอรี่เป็นโซนขายงานดีไซน์เก๋ไม่ซ้ำใคร สโตร์ใหม่ของเราเลยเหมาะทั้งในแง่ของโลเกชั่นและกลุ่มเป้าหมายที่เราเคยตั้งเป้าไว้ นั่นก็คือกลุ่มคนที่ชอบงานออกแบบนั่นเอง”
นอกจากเป็นหน้าร้านแห่งใหม่ที่มีไลน์สินค้าครบ โลโม่สโตร์ยังเป็นศูนย์บริการและพื้นที่แฮงเอาท์ของกลุ่มเป้าหมาย บรรยากาศของร้านที่โปร่งโล่งด้วยกระจกใสด้านหน้าช่วยตอกย้ำและสร้างความแข็งแกร่งให้กลยุทธ์การตลาดที่มุ่งเน้นการสร้าง “คอมมูนิตี้” เพราะลูกค้าคือ VIP ที่ช่วย “เพิ่มเพื่อน” ให้โลโม่อย่างต่อเนื่อง
“ถ้ากลุ่มเป้าหมายเล่นกล้องอยู่คนเดียว เราโตช้าแน่นอน แต่ถ้ามีสถานที่รองรับแบบนี้ เรายิ่งโตเร็ว คนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้เห็นภาพความเป็นคอมมูนิตี้ของเราชัดเจนขึ้นผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่เราจัด” ทูตโลโม่เล่าถึงประสบการณ์การทำตลาดโลโม่ในประเทศไทยตลอด 5 ปี ที่เธอพยายามสร้างชุมชนโลโม่ให้ใหญ่ขึ้นด้วยมู้ดแอนด์โทนสนุกๆ เพื่อให้เข้าถึงทาร์เก็ตทุกกลุ่มได้ง่าย
ปัจจุบัน รายได้หลักราว 70 % ของโลโม่ประเทศไทยมาจากสินค้าประเภทกล้อง “เราไม่ได้มองตัวเองว่าเป็นแค่ Toy Camera แต่มองว่าโลโม่เป็นแบรนด์ ไลฟ์สไตล์โปรดักต์ การถ่ายรูปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ดังนั้น นอกจากกล้อง เราจึงมีไลน์สินค้าใหม่ที่สอดคล้องกับเอกลักษณ์ของแบรนด์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่กระเป๋า เครื่องเขียน สมุดโน้ต กรอบรูป ฯลฯ กระทั่งพ็อกเกตบุ๊กนำเที่ยวในแบบของโลโม่ ที่มีความแตกต่างทั้งด้านภาพและเนื้อหาที่ซอกแซก”
แม้ภายใน Lomography Gallery Store จะยังมีป้าย What the hell is lomography? ติดอยู่ แต่เชื่อว่าตอนนี้ประชากรยุคดิจิตอลจำนวนหนึ่งคงคลายความสงสัยแล้วว่าโลโม่คืออะไร สเต็ปต่อไปอาจเป็นการรอดู “มุกใหม่” หรือทิศทางในอนาคตของกล้องที่ถ่ายภาพด้วยฟิล์ม
“ล่าสุดเราเพิ่งเปิดตัว LomoKino เป็นกล้องโลโม่ที่ถ่ายภาพยนตร์แบบสต็อปโมชั่น ประสบความสำเร็จมากทั้งด้านยอดขายและความฮือฮา” มณีแดงตอกย้ำด้วยความภูมิใจ
ส่วนสยามดิสคัฟเวอรี่ก็ได้ “โลโม่ช็อป” มาเติมเต็มความเป็นศูนย์การค้าที่ต้องอินเทรนด์กับวัยรุ่นได้ทุกยุคทุกสมัย และสร้างความต่างที่ห้างอื่นไม่มี
cellpadding=”2″ cellspacing=”2″>
เพราะโลโม่มีฟิล์มครบทุกประเภท
ภายใต้แบรนด์ของตัวเองจากซัพพลายเออร์หลายแหล่ง ทั้งฟิล์มเนกาทีฟ
ฟิล์มสไลด์ ฟิล์มขาว-ดำ และฟิล์มทังสเตนที่หายากในปัจจุบัน
style=”vertical-align: top; text-align: center; font-weight: bold;”>Leading
Product of Thai LOMO
style=”vertical-align: top; text-align: center; font-weight: bold;”>Core
Target
style=”vertical-align: top; text-align: center; font-weight: bold;”>Motivation
Sardina
ต้องการแสดงตัวตนที่แตกต่าง
และการถ่ายรูปคือ Passion
