“ต้องดูดีทั้งตัว”! เทรนด์ผู้บริโภคชาวไทยปี 2567 ดันผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม-ครีมทามือมาแรง

(Photo by Karolina Kaboompics / Pexels)
  • Kantar เปิดเทรนด์ผู้บริโภคไทยปี 2567 พบกลุ่มผลิตภัณฑ์ส่วนบุคคล (Personal Care) ฟื้นตัวกลับมาแล้วหลังผ่านโควิด-19
  • เทรนด์ใหม่คนไทยในการดูแลตนเองคือ “ต้องดูดีทั้งตัว” ทำให้ผลิตภัณฑ์ประเภทดูแลเส้นผมไปจนถึงครีมทามือกลายเป็นสินค้ามาแรง
  • แนะช่องว่างทางการตลาด เน้นสินค้ารับมือแดดร้อน ต้านมลพิษ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

“Kantar” ที่ปรึกษาทางการตลาด เปิดเทรนด์ผู้บริโภคไทยหลังผ่านพ้นโควิด-19 และกลับออกมาใช้ชีวิตนอกบ้าน พบเจอคนอื่นใน “ชีวิตจริง” มากขึ้น ทำให้เมื่อปี 2566 กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลบ้าน (Home Care) ยอดขายตกลง -10.7% สวนทางกับกลุ่มผลิตภัณฑ์ส่วนบุคคล (Personal Care) ที่กลับมาฟื้นตัว 0.2% และเทรนด์นี้น่าจะเกิดขึ้นต่อเนื่องในปี 2567

บทวิจัยนี้ยังพบไฮไลต์ที่น่าสนใจว่า การที่คนไทยต้องดูแลตนเองเพื่อพบเจอคน ไม่ได้ทำให้ยอดขายสินค้าประเภท “เครื่องสำอางสำหรับใบหน้า” เท่านั้นที่เติบโต แต่ยังทำให้สินค้ากลุ่มดูแลผมและผิวพรรณโตตามไปด้วย เพราะลูกค้าต้องการจะดูดีในทุกจุดของร่างกาย

เมื่อปี 2566 ยอดขายสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ส่วนบุคคลที่ “เติบโตดีที่สุด” 10 อันดับแรกนั้น ได้แก่

1.น้ำยาบ้วนปาก
2.ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย
3.ทรีตเมนต์เส้นผม
4.แปรงสีฟัน
5.ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด
6.ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดใบหน้า
7.มอยเจอไรเซอร์สำหรับทาตัวและทามือ
8.สบู่เหลว
9.โทนเนอร์
10.ผลิตภัณฑ์จัดแต่งเส้นผม

เห็นได้ว่าใน 10 อันดับแรกมีสินค้าที่เกี่ยวกับเส้นผม 2 อันดับ และที่เกี่ยวกับการดูแลร่างกายโดยเฉพาะเข้ามาติดอันดับด้วย สะท้อนให้เห็นว่าเรื่องการดูแลผมและผิวกายให้ดูดีเป็นเรื่องสำคัญของผู้บริโภคไทยยุคนี้

 

ช่องว่างการตลาด: ต้านมลพิษ สู้แดดร้อน

Kantar ยังชี้เป้าด้วยว่า ด้วยอากาศที่ร้อนขึ้นและมลพิษสูงขึ้น แต่คนไทยต้องกลับมาใช้ชีวิตนอกบ้าน ทำให้สิ่งที่ลูกค้ามองหาจะเป็นสินค้าที่ช่วยสู้กับแสงแดดร้อนแรงและมลพิษเมืองไทย เช่น มีส่วนผสม SPF, ส่วนประกอบอ่อนโยนต่อผิว

รวมถึงแบรนด์ที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าในอากาศและมลพิษแบบนี้ได้จะเป็นผู้ชนะ เช่น ลูกค้ามักจะเชื่อว่าการทาโลชันแล้วไปเผชิญอากาศร้อนจะทำให้ตัวเหนียวเหนอะหนะ ดังนั้น แบรนด์ที่สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์และสื่อสารให้ลูกค้าเชื่อได้ว่าโลชันของแบรนด์ ‘ซึมเร็ว’ ไม่ทำให้ตัวเหนียวแม้อยู่กลางแดดร้อน ก็จะได้ยอดขายที่สูงขึ้น

Woman smile applying sun cream on face. Skincare. Body Sun protection. sunscreen. Female in hat smear moisturizing lotion on skin.

 

ชอบผลิตภัณฑ์ที่ “เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” แต่ติดที่ “ไม่เชื่อใจ”

อีกหนึ่งช่องว่างการตลาดที่แบรนด์สามารถเจาะได้คือ จากข้อมูลของ Alibaba’s Sustainability Trends Report 2023 พบว่า คนไทย 88% อยากจะมีไลฟ์สไตล์เพื่อความยั่งยืน เช่น การเปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้แพ็กเกจเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใส่สารเคมี ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทดลองกับสัตว์ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม กำแพงที่กั้นคนไทยไม่ให้หันมามีไลฟ์สไตล์เพื่อความยั่งยืนจริงๆ เป็นเพราะไม่รู้ว่าการกระทำของตัวเองจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้จริงหรือเปล่า ทั้งสินค้าที่ทำเพื่อความยั่งยืนก็มักจะแพง และมีตัวเลือกให้เลือกน้อย

ผลสำรวจนี้พบว่าคนไทย 38% ไม่เชื่อใจว่าผลิตภัณฑ์ที่บอกว่าทำเพื่อความยั่งยืนนั้นมีแรงจูงใจที่ ‘จริงใจ’ ต่อสิ่งแวดล้อม มีคนไทยเพียง 15% เท่านั้นที่บอกว่าตนเองเชื่อใจแบรนด์เวลาแบรนด์บอกว่าทำสิ่งเหล่านี้ออกมาเพื่อความยั่งยืน

ด้วยโจทย์เช่นนี้ทำให้แบรนด์สามารถหาช่องว่างเข้าไปเป็นแบรนด์ที่ สร้างความเชื่อใจ ได้จริงในแง่ของความยั่งยืน ซึ่งจะทำให้แบรนด์สามารถเล่าที่มาที่ไปได้ว่าทำไมผลิตภัณฑ์เหล่านี้จึงมีราคาแพงกว่า ทำให้ลูกค้า รู้สึกดีเมื่อจะซื้อสินค้าเพราะรู้ว่าตนเองกำลังทำเพื่อโลกด้วย