มองอนาคต ‘Tesla’ ภายในปี 2029 รายได้หลักจะไม่ได้มาจากการขาย ‘รถอีวี’ แต่เป็น ‘ซอฟต์แวร์’

ภาพจาก Unsplash
แม้ภาพในปัจจุบันของ เทสลา (Tesla) ที่คนภายนอกมองจะเป็นบริษัทผู้ผลิตรถอีวี แต่ในมุมของนักลงทุน มองว่าอีกไม่กี่ปี รายได้หลักของบริษัทจะไม่ได้มาจากการขายรถ แต่เป็น ซอฟต์แวร์เอไอการขับขี่อัตโนมัติ

แม้ปัจจุบันรายได้ประมาณ 79% ของ Tesla มาจากการขายรถยนต์ไฟฟ้า (EVs) แต่ Ark Investment Management ที่ลงทุนในหุ้นของ Tesla กลับประเมินว่า ภายในปี 2029 สัดส่วนรายได้ 86% ของ Tesla จะมาจากด้านอื่น ๆ ที่ไม่ใช่จากการขายรถอีวี ซึ่งก็คือ ซอฟต์แวร์ระบบการขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบ (Full Self-Driving: FSD) ของบริษัท

โดย Cathie Wood หัวหน้าของ Ark Investment Management มองว่า ยอดขายรถอีวีของ Tela กำลังชะลอตัว โดยในปี 2023 มียอดจัดส่ง 1.8 ล้านคัน แต่ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2024 กลับมียอดจัดส่งเพียง 1.29 ล้านคัน ซึ่งลดลง 2.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นการหดตัวครั้งแรกนับตั้งแต่เปิดตัวรุ่น Model S ในปี 2011 แม้ว่าบริษัทจะลดราคาลงอย่างมาก เพื่อกระตุ้นตลาดแล้วก็ตาม

โดย Wood มองว่า ความต้องการในตลาดรถอีวีกําลังลดลง เนื่องจากท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ยากลําบาก ทำให้ผู้บริโภคเลือกที่จะรัดเข็มขัด อีกทั้งยังคงเลือกใช้รถยนต์สันดาปที่มีราคาถูกกว่า และมีข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐานน้อยกว่า 

นอกจากนี้ Tesla ยังต้องเจอกับการแข่งขันที่รุนแรงจาก ค่ายรถจีน ที่มีราคาถูกกว่า แม้ว่า Elon Musk ซีอีโอของ Tesla มีแผนจะสร้างรุ่นราคาประหยัดมาสู้ก็ตาม โดยคาดว่าจะเข้าสู่การผลิตในปี 2025 และขายในราคา 25,000 ดอลลาร์ แต่สุดท้ายแล้ว Musk ก็สั่งพับโครงการนี้ไป พร้อมกับประกาศว่า อนาคตของบริษัทอยู่ที่ ยานพาหนะอัตโนมัติ แทน 

โดยบริษัทได้เปิดตัว Cybercab เมื่อต้นเดือนนี้ ซึ่งเป็นรถโรโบแท็กซี่ที่ขับขี่ด้วยตัวเองโดยไม่มีพวงมาลัยหรือคันเร่ง ซึ่ง Cybercab จะทํางานบนซอฟต์แวร์ FSD ของ Tesla ซึ่งบริษัทได้พัฒนามาหลายปีแล้ว อย่างไรก็ตาม มันยังไม่ได้รับการอนุมัติสําหรับการใช้งานในสหรัฐอเมริกา และคนขับที่เป็นมนุษย์ต้องพร้อมที่จะรับช่วงต่อตลอดเวลา แต่จากข้อมูลที่รวบรวมจากการทดสอบเบต้า เป็นไปได้ว่า Cybercab ปลอดภัยกว่ารถยนต์ทั่วไปบนท้องถนนอยู่แล้ว

ตามรายงานความปลอดภัยของยานพาหนะรายไตรมาสล่าสุดของ Tesla พบว่า เกิดอุบัติเหตุ 1 ครั้ง ทุก ๆ 7 ล้านไมล์ เมื่อเทียบกับการเกิดอุบัติเหตุทุก ๆ 7 แสนไมล์โดยเฉลี่ยในสหรัฐอเมริกา หรืออาจแปลได้ว่า FSD นั้นปลอดภัยกว่ายานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยมนุษย์ถึง 10 เท่า และตามสถิติ ซอฟต์แวร์จะยิ่งเก่งขึ้น เนื่องจากโมเดล AI ที่ใช้อ้างอิงนั้นเรียนรู้จากข้อมูลใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง 

ปัจจุบัน Tesla กําลังสร้างกลุ่มชิปประมวลผลกราฟิก (GPU) 50,000 ชิ้นจาก Nvidia เพื่อฝึก FSD ต่อไป โดยบริษัทกําลังจะลงทุนมูลค่า 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐานศูนย์ข้อมูล AI ในปีนี้ ด้วยเหตุนี้ Musk จึงคาดหวังว่าซอฟต์แวร์จะได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกํากับดูแลสําหรับการใช้งานรถอัตโนมัติในที่สุด และอาจจําหน่ายในเท็กซัสในปีหน้า และอาจเป็นแคลิฟอร์เนีย ดังนั้น Tesla หมายมั่นปั้นมือกับระบบ FSD มาก และคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้จาก 3 วิธี ได้แก่

  1. ขายซอฟต์แวร์ให้กับผู้ที่ซื้อรถของเทสลา
  2. การออกใบอนุญาตซอฟต์แวร์ให้กับผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นโดยมีค่าธรรมเนียม
  3. ผ่านเครือข่ายการเรียกรถที่เทสลาสร้างขึ้นเอง ซึ่งจะช่วยให้ Cybercabs สามารถขนส่งผู้โดยสารได้ตลอดเวลา (เช่น Uber ยกเว้นไม่มีคนขับโดยสิ้นเชิง)

ทั้งนี้ ธุรกิจซอฟต์แวร์มักจะมีอัตรากําไรขั้นต้น 80% หรือมากกว่า ซึ่งสูงกว่าอัตรากําไรขั้นต้นปัจจุบันของ Tesla ที่ 19.8% ในพอร์ตโฟลิโอธุรกิจฮาร์ดแวร์ในปัจจุบัน ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ FSD มีโอกาสจะขึ้นมาเป็นรายได้หลักของบริษัทในอนาคต

โดยแบบจําลองทางการเงินของ Ark ชี้ให้เห็นว่า Tesla จะสร้างรายได้ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีภายในปี 2029 โดย FSD และ Cybercab คิดเป็นสัดส่วน 63% อย่างไรก็ตาม ด้วยอัตรากําไรที่สูง Ark เชื่อว่าผลิตภัณฑ์เหล่านั้นจะคิดเป็น 86% ของรายได้ที่คาดการณ์ไว้ 4.40 แสนล้านดอลลาร์ก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจําหน่าย (EBITDA)

Source