แม้ว่าสหภาพยุโรปกําหนดภาษีรถยนต์ที่ผลิตในจีนเมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา รวมถึงสหรัฐฯ และแคนาดา ที่เตรียมขึ้นภาษี 100% สำหรับรถอีวีที่ผลิตในจีน และอาจจะเก็บสูงขึ้นอีกในยุคประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ อย่างไรก็ตาม BYD ก็ไม่แสดงสัญญาณว่าจะชะลอการขยายตัวภายในประเทศและระหว่างประเทศ
บีวายดี (BYD) เปิดเผยว่า ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แบรนด์มียอดขายทั่วโลก 322,846 คัน เพิ่มขึ้น +8.9% จากเดือนมกราคม โดยมียอด ส่งออก ที่ 67,025 คัน เติบโต +187.8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว เมื่อรวมกับยอดเดือนมกราคม BYD ได้ส่งออกรถยนต์ไปแล้ว 133,361 คัน ในปี 2025 เติบโต +124% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
JPMorgan Chase มองว่า ที่แบรนด์ไม่แสดงสัญญาณว่าจะชะลอการขยายตัวภายในประเทศและระหว่างประเทศ แม้ว่ารถอีวีจากจีนจะถูกทั้งสหรัฐฯ, แคนาดา และยุโรป ขึ้นภาษี เป็นเพราะโรงงานประกอบรถยนต์ของ BYD ในบราซิล ฮังการี อินโดนีเซีย และไทยใกล้จะแล้วเสร็จ ทำให้ BYD เตรียมเพิ่มกำลังผลิต อีกทั้งการเปิดตัวระบบขับรถอัตโนมัติ คาดว่าในปีนี้ BYD จะสามารถส่งมอบรถอีวีได้ถึง 6.5 ล้านคัน ทั่วโลก
สำหรับภาพรวมตลาดอีวีทั่วโลกในเดือนกุมภาพันธ์เพิ่มขึ้นเป็น 1.2 ล้านคัน เติบโตขึ้น +50% โดยการเติบโตหลัก ๆ มาจากตลาด จีน ที่เติบโตถึง +76% ส่วนตลาด ยุโรป โตขึ้น +20% ในช่วง 2 เดือนแรก ในขณะที่การส่งมอบใน อเมริกาเหนือ อยู่เท่าเดิมที่ 300,000 คัน
ที่น่าสนใจคือ เทรนด์ของ BEV หรือ รถยนต์ไฟฟ้า 100% ในตลาดจีนกลับมาเติบโต หลังจากปีที่ผ่านมารถ ไฮบริด เติบโตอย่างมาก เนื่องจากบรรดาค่ายรถต่างก็เปิดตัวรถรุ่นใหม่ ๆ ออกสู่ตลาด โดยยอดขาย BEV เพิ่มขึ้น +46% ส่วนยอดขายปลั๊กอินไฮบริดเพิ่มขึ้น +22%
“การเติบโตส่วนใหญ่ของรถอีวียังคงมาจากจีน แต่ที่น่าสนใจคือ การฟื้นฟูยอดขายของรถไฟฟ้า 100% ไฟในปีนี้ หลังจากที่ปี 2024 เป็นปีแห่งไฮบริด” ชาร์ลส์ เลสเตอร์ ผู้จัดการข้อมูลของ Rho Motion กล่าว
ที่น่าเป็นห่วงคือ เทสลา (Tesla) ที่ค่อย ๆ เสียส่วนแบ่งตลาดในตลาดจีน โดยยอดขายในเดือนกุมภาพันธ์ลดลงมากกว่า -50% เหลือ 30,688 คัน ซึ่งลดลงมากกว่าเดือนมกราคม ที่ลดลง 49.2%