ย้อนรอย ‘KEX’ ตั้งแต่เข้า IPO จนถึงวันที่ต้อง ‘ถอนตัว’ จากตลาดหุ้นไทย

ในวันที่ตลาด อีคอมเมิร์ซ เมืองไทยเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ธุรกิจ โลจิสติกส์ ก็โตเป็นเงาตามตัว โดย Kerry Express หรือ KEX ในปัจจุบัน ก็ถือเป็นผู้เล่นเอกชนรายแรก ๆ ที่เข้ามาทำตลาดในไทย และเติบโตจนสามารถ IPO แต่ปัจจุบัน KEX กำลัง ถอนตัวออกจากหุ้นไทย

Kerry Express (เคอรี่ เอ็กซ์เพรส) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2549 โดยบริษัท Kerry Logistics Network (KLN) จาก ฮ่องกง โดยในช่วง 5 ปีก่อนที่บริษัทจะ IPO เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ในไทย Kerry สามารถเติบโต และทำกำไรได้ทุกปี โดย

  • ปี 2558: รายได้ 1,515 ล้านบาท กำไร 134 บาท
  • ปี 2559: รายได้ 3,206 ล้านบาท กำไร 307 บาท
  • ปี 2560: รายได้ 6,577 ล้านบาท กำไร 732 บาท
  • ปี 2561: รายได้ 13,565 ล้านบาท กำไร 1,185 ล้านบาท
  • ปี 2562: รายได้ 19,894 ล้านบาท กำไร 1,328 ล้านบาท

จนกระทั่งวันที่ 11 พฤษภาคม 2563 Kerry Express ก็ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายใต้ชื่อย่อ KEX และหลังจาก IPO ได้ 1 ปี ในปี 2564 บริษัทก็ยังมีกำไรสุดแกร่งที่ 1,405 ล้านบาท แม้รายได้จะลดลงเล็กน้อยที่ 19,010 ล้านบาท และด้วยผลประกอบการดังกล่าว เคยดันราคาหุ้นไปสู่ระดับสูงสุดที่ 73 บาทต่อหุ้น จากที่เปิดจองซื้อหุ้น IPO ที่ 28 บาทต่อหุ้น

อย่างไรก็ตาม มาปี 2564 ผลประกอบการของ Kerry Express ก็ค่อย ๆ ปรับตัวลดลง จากกำไรระดับ พันล้าน เหลือเพียง 46 ล้านบาท จากรายได้ 18,972 ล้านบาท จนมาปี 2565 บริษัทก็มีรายได้ลดลงเหลือ 17,145 ล้านบาท แถมยัง ขาดทุนถึง 2,829 ล้านบาท และนับจากปี 2565 บริษัทก็ขาดทุนมาโดยตลอด โดยในปี 2566 บริษัทรายได้ 11,470 ล้านบาท ขาดทุน 3,880 ล้านบาท

จนมาวันที่ 6 ก.พ. 2567 Kerry Express ก็ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ขายกิจการพร้อมหุ้น 100% ให้ บริษัท เอสเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทย่อยของ S.F. Holding Co. ยักษ์ใหญ่ด้านขนส่งจากจีน ทำให้ผู้ถือหุ้นมีการเปลี่ยนแปลง และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น KEX

แต่แม้ว่าบริษัทจะได้ผู้ร่วมทุนรายใหม่ที่เป็นยักษ์ใหญ่ของจีน แต่รายได้กลับยังลดลงเหลือ 9,449 ล้านบาท และ ขาดทุนถึง 5,911 ล้านบาท จนถึงปัจจุบัน KEX ขาดทุนแล้วถึง 13 ไตรมาสติด ในขณะที่ราคาหุ้นเคยลงไป ต่ำกว่า 1 บาท

ต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้ผลประกอบการ Kerry Express หรือ KEX ค่อย ๆ ลดลง หนีไม่พ้นเรื่อง การแข่ง ขัน เพราะในวันที่ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้มีจำนวนผู้เล่นในตลาดโลจิสติกส์เพิ่มขึ้นตาม ไม่ว่าจะเป็น Flash Express, J&T Express, BEST Express รวมถึงเบอร์ 1 อย่าง ไปรษณีย์ไทย นอกจากนี้ แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซส่วนใหญ่ต่างก็มี ขนส่งของตัวเอง เช่น SPX Express ของ Shopee หรือ Lazada express ของ Lazada

ไม่ใช่แค่การแข่งขันที่สูงจนเกิด สงครามราคา แต่สิ่งที่พุ่งขึ้นสวนทางก็คือ ต้นทุน ไม่ว่าจะเป็นค่าเชื้อเพลิงพลังงาน หรือ ค่าแรง ก็ตาม ยิ่งทำให้บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรได้น้อยลง ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นในปี 2567 ลดลงอย่างมากจาก -25% กลายมาเป็น -33.4%

จนในที่สุด KEX แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเกี่ยวกับการเพิกถอนหลักทรัพย์ของบริษัทฯ จากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และการกำหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2568 (ราคา Tender Offer 1.50 บาทต่อหุ้น) ผ่านรายงานมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 4/2568 ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568

โดยมีมติให้เสนอต่อที่ประชุมฯ ครั้งที่ 1/68 เพื่อพิจารณาและอนุมัติการเพิกถอนหลักทรัพย์ของบริษัทฯ จากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) หลังจากฝั่งผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง บริษัท เอสเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ SFTH ที่ถือหุ้น 81.43% เสนอให้เพิกถอนหุ้นออกตลากตลาดหลักทรัพย์โดยสมัครใจ

และแจ้งความประสงค์ที่จะเป็นผู้ทำคำเสนอซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทที่ไม่ได้ถือโดย SFTH ซึ่งรวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 651,017,806 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 18.57% ของหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัท เพื่อเพิกถอนหลักทรัพย์ของบริษัท จากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในราคาเสนอซื้อหุ้นที่ราคา 1.50 บาทต่อหุ้น (คำเสนอซื้อเพื่อเพิกถอนหลักทรัพย์)