สงครามราคาอีวีในจีนปะทุขึ้นอีกครั้ง ทำให้ค่ายผู้ผลิตเบอร์ 2 ในตลาดอย่าง Geely Auto ต้องออกมาประกาศว่าจะ ไม่สร้างโรงงานใหม่ เพื่อไม่ให้มีกำลังการผลิตส่วนเกิน และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรมากขึ้น
หลี่ ซู่ฟู ประธานคณะกรรมการ Geely Auto บริษัทผู้ผลิตรถยนต์อันดับสองของจีนแผ่นดินใหญ่ กล่าวในงาน Chongqing Auto Show ว่า Geely จะไม่สร้างโรงงานใหม่ เพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างกำลังการผลิตส่วนเกิน และมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาความสามารถทางเทคโนโลยีเพื่อเป็นผู้เล่นหลักในอนาคตของตลาดยานยนต์
“อุตสาหกรรมยานยนต์โลกกำลังจมอยู่ในปัญหากำลังการผลิตส่วนเกินอย่างรุนแรง เราจึงตัดสินใจหยุดการสร้างโรงงานผลิตรถใหม่” หลี่ ซู่ฟู กล่าว
ปัจจุบันตลาดอีวีจีนกำลังจมอยู่ในสงครามราคา โดยในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนพฤษภาคม บรรดาผู้เล่นชั้นนำในตลาดอย่าง BYD, Geely และ Leapmotor ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพ ได้ ลดราคารถยนต์สูงสุด 20% รวมแล้วกว่า 70 รุ่น เพื่อรักษาส่วนแบ่งการตลาด ตามรายงานของหนังสือพิมพ์ 21st Century Business Herald
ส่งผลให้ ส่วนลด ของผู้ผลิตรถยนต์จีน เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่า ไปที่ระดับสูงสุดที่ 16.8% จากที่ในเดือนเมษายนปี 2024 ส่วนลดอยู่ที่ 8.3% ตามรายงานของ JPMorgan Chase
“การตัดสินใจของ Geely ที่จะหยุดการสร้างโรงงานใหม่จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับคู่แข่งในประเทศให้ดำเนินการเช่นเดียวกันเพื่อให้แน่ใจว่าภาคยานยนต์จะเติบโตอย่างมีสุขภาพดี เพราะการลดกำลังการผลิตจะช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดจากสงครามส่วนลด เนื่องจากบริษัทไม่ต้องลดราคารถยนต์เพื่อเคลียร์สต๊อกจำนวนมาก” เฉิน จิ้นจู ซีอีโอของ Shanghai Mingliang Auto Service กล่าว
สำหรับ Geely Auto มีรถยนต์ภายใต้แบรนด์ต่าง ๆ อาทิ Zeekr, Lynk และ Galaxy โดยในปีที่ผ่านมา บริษัทส่งมอบรถไปแล้ว 2.18 ล้านคัน เพิ่มขึ้น +32% จากปี 2023 ขณะที่ยอดขายรถอีวีทำได้มากกว่า 888,000 คัน เติบโตขึ้น +92% และสามารถทำ กำไร ได้ 8.5 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้น +52% จากปีก่อน ปัจจุบันยอดขายรถอีวีในจีนของ Geely คิดเป็นมากกว่า 60% ของการส่งมอบทั้งหมดในปี 2024
นิค ลาย หัวหน้าฝ่ายวิจัยยานยนต์เอเชียแปซิฟิกของ JPMorgan กล่าวว่า การเพิ่มขึ้นของการส่งออกสามารถช่วยเสริมความสามารถในการทำกำไรของผู้ผลิตรถอีวีในจีน เนื่องจากยอดขายรถยนต์ในต่างประเทศมีอัตรากำไรที่มาก กว่า
โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2025 ยอดส่งออกรถอีวีของจีนมีสัดส่วน 33% ของการส่งออกรถยนต์ทั้งหมดของประเทศ เพิ่มขึ้น +13% เมื่อเทียบกับประมาณ 25% ในช่วง 2 ปีก่อน



