สุรวุฒิ สุขเจริญสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด หรือ LPP เปิดเผยว่า ปี 2568 ถือเป็นปีท้าทายของภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่ต้องพึ่งพาแรงงานสูง และปัจจุบันเผชิญปัญหา ‘ขาดแคลนแรงงาน’ โดยเฉพาะในกลุ่มไซต์งานก่อสร้าง และงานซ่อมบำรุง ที่ขับเคลื่อนด้วยแรงงานต่างชาติเป็นหลัก
แรงงานกัมพูชา บางไซต์งานหาย 80% หนุนแบกต้นทุนเพิ่ม 15-20%
ทว่าสถานการณ์ความขัดแย้งในชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลให้แรงงานกัมพูชากลับประเทศ โดยบางไซต์งานมีแรงงานหายไปกว่า 20-80%
“อุตฯ ก่อสร้างพึ่งพาแรงงานกัมพูชาจำนวนมาก ตอนนี้โชคดีที่ยังมีแรงงานไทยจากภาคเกษตรกรรมเข้ามาทำงานใน กทม. แต่ในเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงนาปรังแรงงานไทยกลุ่มนี้จะเริ่มหายไป ต้องวางแผนตุนแรงงานจากเมียนมา และลาวแทน ซึ่งแรงงาน 2 ชาตินี้มีทักษะงานที่ดี จึงมีอำนาจต่อรองสูง”

ปัจจัยดังกล่าว สร้างแรงกดดันให้ผู้ประกอบการแบกต้นทุนแรงงานเพิ่มขึ้นราว 15-20% ในการหาแรงงานชาติอื่น ๆ มาทดแทน จากปกติจ่ายค่าแรงขั้นต่ำอยู่ที่ 400 บาท/วัน
อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าสถานการณ์ต่าง ๆ จะคลี่คลายในปลายปี 2568 นี้ ด้วยการเจรจาของรัฐบาลใหม่ ขณะเดียวกัน แรงงานกัมพูชาที่กลับประเทศไปก่อนหน้านี้ บางส่วนก็อยากกลับเข้ามาทำงานในไทย
ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ดันอาชีพ รปภ. ค่าจ้างสูงสุด 3 หมื่นบาท/เดือน
นอกจากนี้ ประเด็นการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศ ก็สร้างผลกระทบต่อธุรกิจ เนื่องจากรายได้ไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่มี Fixed Cost เพิ่มขึ้น อาทิ กลุ่มงาน รปภ. ที่มีเงินเดือนสูงราว 30,000 บาท/เดือน มากกว่าคนจบประดับปริญญาตรีบางสายงาน
โดยค่าแรง รปภ. ให้รายวันอยู่ที่ 400 บาท ทำงาน 8 ชม. แต่ปกติต้องทำงานกะละ 12 ชม. เท่ากับมี OT อีก 4 ชม. (ตามกฎหมายเพื่อคุ้มครองค่าล่วงเวลาของ รปภ.) ให้ค่า OT 1.5 เท่า ของอัตราปกติ คิดเป็นประมาณ 75 บาท/ชม. หากเพิ่มเวลางานกว่า 1 กะ ก็จ่ายเพิ่มขึ้น หรือทำงานในวันหยุดค่าแรงจะได้ 2 เท่า

“นอกจากเรื่อง Fixed Cost ที่เพิ่มขึ้นจากค่าแรงขั้นต่ำแล้ว ปัจจัยนี้ ‘อาจ’ ทำให้ผู้บริโภคในโครงการที่อยู่อาศัยต้องแบกภาระค่าส่วนกลางสูงขึ้นอีกด้วย”
ดังนั้น ในบางโครงการเริ่มเพิ่มระบบรักษาความปลอดภัยแบบไร้คนเพื่อมอนิเตอร์ตลอดเวลา อาทิ การติดกล้องวงจรปิดเพิ่มขึ้น ระบบการเข้าอาคารที่รัดกุมมากขึ้น
รวมถึงเพิ่มตำแหน่งงานอื่น ๆ ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค เข้ามาทดแทนงานจิปาถะที่ รปภ. ต้องช่วยลูกบ้าน เช่น ช่วยยกของ เปิดประตู เป็นต้น โดยอาจพิจารณาสายงานซัพพอร์ตและบริการแทน ซึ่งตรงใจลูกบ้าน และมีต้นทุนถูกกว่าการจ้างงาน รปภ. เพื่อทำหลายหน้าที่

สำหรับปัจจุบัน LPP ตั้งเป้ารายได้ 1,900 ล้านบาท จาก 3 Business Unit ได้แก่
- บริหารนิติบุคคลโครงการที่อยู่อาศัย 1,000 ล้านบาท จากการขยายการรับบริหารโครงการใหม่ ๆ ปีละ 20-30 นิติบุคคล
- งานซ่อมบำรุงอาคาร ภายใต้บริษัทลูก คือ LPS จำนวน 300 ล้านบาท จากการรับงานซ่อมแซมอาคารจากแผ่นดินไหว และรีโนเวตอาคารเก่า เพื่อสร้างมูลค่า
- บริการจัดหาแม่บ้านและ รปภ. ให้แก่โครงการต่าง ๆ มูลค่าราว ๆ 600 ล้านบาท



