ในช่วงนี้ หน้าฟีดหลายคนน่าจะเจอแต่คำว่า อวสาน เต็มไปหมด และหนึ่งในนั้นก็คือ อินฟลูเอนเซอร์ แต่จากมุมมองของ สุวิตา จรัญวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เทลสกอร์ จำกัด ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์ ได้มาอัปเดตเกี่ยวกับสถานการณ์ตลาดอินฟลูฯ ในไทยว่า อวสาน จริง หรือยังไปได้
อินฟลูฯ ยังไม่อวสาน แต่ท้าทายขึ้น
ข้อมูลสถิติ “Influencer Economy Worldwide” จาก Statista.com ระบุว่า มูลค่าตลาดครีเอเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์ทั่วโลกมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 20-30% ต่อปี โดยในปี 2567 อยู่ที่ 24,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในปี 2568 ตลาดครีเอเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์ทั่วโลกพุ่งแตะ 32,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้น สุวิตา มองว่า อินฟลูฯ อาจจะไม่ถึงขั้น อวสาน แต่มัน ท้าทายขึ้น เพราะต้องยอมรับว่าตลาดในปัจจุบันมีการ แข่งขันสูง
ส่วนหนึ่งที่ทำให้ตลาดแข่งขันสูงก็คือ ครีเอเตอร์หน้าใหม่ ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ยิ่งในช่วงที่คน ตกงาน ก็จะเห็นคนที่หันมาทำอินฟลูฯ แบบฟูลไทม์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Gen Z หรือกลุ่ม คนเกษียณ นอกจากนี้ การแข่งขันไม่ได้อยู่แค่ในประเทศ แต่เกิดการ cross-border มีอินฟูลฯ ต่างประเทศที่มาดังในไทยมากขึ้น ดังนั้น อินฟลูฯ ที่จะอยู่รอดได้ต้อง เก่งจริง ต่างจากในช่วงแรกที่ตลาดยังเล็ก ที่ใครเข้ามาก็มีโอกาสไปต่อได้
“ปีก่อนมีคนมาเป็นอินฟลูฯ ฟูลไทม์มากขึ้น ปีนี้ยิ่งเยอะ แต่มันไม่ใช่เรื่องดี เพราะความจริงแล้วเขาอาจจะ ตกงาน ยิ่งเข้ามาเยอะ ก็ยิ่งเกร่อ ตอนนี้แค่ทำเงินให้ได้เดือนละ 5,000 บาทยังยาก” สุวิตา กล่าว
อวสานจริงจะเป็นสายไลฟ์ขายของ
อินฟลูฯ สายทั่วไปอาจยังไม่ถึงกับอวสาน แต่ถ้าเป็นสาย ไลฟ์ขายของ ใกล้เคียงกว่า เพราะต้องยอมรับก่อนว่า อินฟลูฯ ที่ไลฟ์ขายของได้ดีจริง ๆ มีไม่ถึงหลัก 10 คนในไทย นอกจากนี้ ยังมี AI เข้ามาไลฟ์ ทำให้อินฟลูฯ สายนี้ต้องปรับตัว เพราะ AI สามารถไลฟ์ได้ 24 ชั่วโมง
“คนหันมาไลฟ์ขายของมากขึ้น เพราะต้นทุนต่ำ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะไลฟ์ขายได้ เพราะการจะขายของได้ ผู้ติดตามจะต้องคุ้นชินคุณ และจะต้องมีสกิลปากที่ขายเก่งจริง ๆ ดังนั้น กว่าจะเกิดมันช้า”
สุวิตา เชื่อว่า มีโอกาสที่ AI จะมาแทนที่อินฟลูฯ สายไลฟ์ของของจริงจัง ดังนั้น อาจจะเริ่มจากการ โคลนตัวเองเป็น AI ให้ไลฟ์ขายของ และสร้างความเชื่อมโยงกับตัวจริง เพราะสิ่งที่ AI ไม่มีก็คือ ความน่าเชื่อถือ ที่ผู้บริโภคยังต้องการ ดังนั้น อินฟลูฯ สายรีวิวยังเติบโตได้
อินฟลูฯ เบอร์ใหญ่ ไม่ได้เป็นที่ต้องการเหมือนก่อน
ในส่วนของเทรนด์การใช้งานอินฟลูฯ ของแบรนด์ ตอนนี้เน้นที่ ไมโครฯ มากกว่า อินฟลูฯ เบอร์ใหญ่ เพราะต้องยอมรับว่า Media Landscape มีความ fragment มากขึ้น ขณะที่ความชอบของผู้บริโภคก็แยกย่อยขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ผู้บริโภคเลือกติดตามอินฟลูฯ แบบ อินดี้ มากขึ้น เลือกที่ชื่นชอบจริง ๆ ดังนั้น ยอดติดตามอินฟลูฯ บางคนอาจไม่ได้มาก แต่คอมมูนิตี้แข็งแรง
“ตอนนี้คนอยู่ในคอมมูนิตี้ของตัวเอง เพราะข้อมูลเยอะ เลือกไม่ไหว จะติดตามใครก็ต้องเลือก ทำให้ตอนนี้ sub-culture มีมาก ทำให้ยอดติดตามคนจะลดลงเรื่อย ๆ เพราะคนติดตามแบบอินดี้มากขึ้น ขนาดครีเอเตอร์สายภาษามือยังมี”
อย่างไรก็ตาม อินฟลูฯ สายที่ยังมีเม็ดเงินเข้ามา ได้แก่ สัตว์เลี้ยง, เล่าข่าว, การเงิน, กลุ่มครีเอเตอร์ LGBTQ+ และเฮลท์ตี้ ส่วนสายที่เริ่มตันคือ ท่องเที่ยว และบิวตี้
“อย่างตอนนี้ในยุค AI ข่าวปลอมเยอะ คนโหยหาคนจริง ๆ ที่มาย่อยข่าว หรือวิเคราะห์ข่าว แต่สายที่ตันคือ ท่องเที่ยว และบิวตี้ เพราะ 2 กลุ่มนี้มีครีเอเตอร์เยอะ เลยต้องการครีเอททิวิตี้ใหม่ ๆ”
ควรเริ่มออกสู่น่านน้ำแพลตฟอร์มใหม่ ๆ
แพลตฟอร์มน่าจับตาคือ Lemon8 ที่ถูกใจ Gen Z ด้วยรูปแบบคอนเทนต์ง่ายและเร็ว และ XiaoHongShu ซึ่งกำลังเติบโตในไทยและอาเซียน ดังนั้น ครีเอเตอร์ที่ใช้ ภาษาอังกฤษและจีน ได้จะมีโอกาสขึ้น
อย่างไรก็ตาม แพลตฟอร์มที่ยังแรงต่อเนื่องยังคงเป็น TikTok ส่วน YouTube ยังแข็งแรงที่สุดด้วย Long-form Content และการจับมือแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรุกตลาด Social Commerce ด้าน Instagram ยังคงเหมาะกับคอนเทนต์ Trend Setter โดยเฉพาะฟอร์แมตคอนเทนต์ประเภท Story ที่สร้าง Engagement ได้สูง
“แม้สถานการณ์โดยรวมจะบั่นทอนกำลังใจในการเป็นครีเอเตอร์ แต่ขอให้ อย่ายอมแพ้ ต้องอดทน ยืนระยะไปก่อน และต้องเปิดใจรับฟังช่องทางการขายใหม่ ๆ ในการหารายได้ ที่สำคัญ ต้องสร้างคอมมูนิตี้ เพราะความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญ ผู้คนยังต้องการ Human Touch” สุวิตา ทิ้งท้าย






