เมื่อ 8 ปีก่อน ‘พันธุ์ไทย’ คือธุรกิจร้านกาแฟที่เกือบปิดกิจการเพราะขาดทุนต่อเนื่อง แต่สามารถพลิกเกมมากำไรได้ในปีที่ 9 มีการเติบโตแบบก้าวกระโดด กลายเป็นผู้เล่นที่ถูกจับตามอง และมาถึงวันนี้กำลังจะสร้างเครื่องยนต์ขับเคลื่อนการเติบโตรอบใหม่ที่ใหญ่กว่าธุรกิจร้านกาแฟหลายเท่าตัว นั่นคือการประกาศเดินหน้าลุย ‘ธุรกิจสตรีท ฟู้ดส์’ อย่างจริงจัง
แล้วอะไรที่ทำให้พันธุ์ไทยกล้ากระโดดเข้ามาธุรกิจนี้?
เพราะแม้ธุรกิจสตรีท ฟู้ดส์ จะมีการเติบโตน่าสนใจ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินไว้ว่า ร้านอาหารสตรีท ฟู้ดส์ที่มีหน้าร้านจะมีมูลค่าอยู่ที่ 261,000 ล้านบาท โต 4.7% จากปีก่อน ซึ่งเป็นแนวโน้มเติบโตที่ดีกว่าร้านอาหารทุกกลุ่ม ขณะเดียวกัน ก็มีการแข่งขันสูง เนื่องจาก ‘มีตัวเลือกหลากหลาย’ และ ‘คู่แข่งมีมากมาย’
“เรามองว่า เทรนด์ปัจจุบันคนไทยไม่ทำอาหารกินเอง และชอบกินอาหารง่าย ๆ ซึ่งสตรีท ฟู้ดส์ตอบโจทย์ เห็นได้จากการเติบโตที่ดี ทำให้พันธุ์ไทยสนใจ และกำลังพิจารณาว่าจะไปในทิศทางไหน มีการขยายอย่างไร เพื่อให้ใช้ทรัพยากร และ eco-system ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด” สุขวสา ภูชัชวนิชกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กาแฟพันธุ์ไทย จำกัด กล่าวกับ Positioning
พลังที่จะเป็นแรงส่งกันและกัน
เมื่อดู Customer Journey ของลูกค้าจะพบว่า คนส่วนใหญ่เมื่อเข้าร้านกาแฟจะไม่ได้ดื่มกาแฟเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องการความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น เบเกอรี่ และอาหาร ฯลฯ การเพิ่มตัวเลือกเหล่านี้ จึงเป็นการโอกาสใหม่ในการเพิ่มรายได้ และเป็นการนำแบรนด์พันธุ์ไทยเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากกว่า ‘คอกาแฟ’
สำหรับการรุกเข้าสู่ธุรกิจสตรีท ฟู้ดส์ ของพันธุ์ไทย จะดำเนินภายใต้กลยุทธ์ Brand Extension นำชื่อเสียงและการเป็นที่รู้จักของแบรนด์พันธุ์ไทยมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ด้วยการนำสตรีท ฟู้ดส์ของไทยมาพัฒนาให้มี ‘ความครีเอทีฟ’ ภายใต้ Brand Idea ของพันธุ์ไทย นั่นคือ Creative Thai Taste ‘ พันธุ์ไทยอะไรก็เป็นไปได้’ การนำเสนอความคิดสร้างสรรค์ที่ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นไทย
ขณะเดียวกัน ก็พยายามเชื่อมโยงให้ทั้งสองธุรกิจเป็น ‘แรงส่งซึ่งกันและกัน’ ผ่าน eco-system ที่อยู่ภายใต้เครือ PTG โดยเฉพาะบัตรสมาชิก Max Card ซึ่งมีฐานสมาชิกประมาณ 25 ล้านคนมาเพื่อช่วยขยายฐานลูกค้าใหม่ และกระตุ้นยอดขายของทั้งสองธุรกิจไปพร้อมกัน
โดยต้นปี 2568 ทางพันธุ์ไทยได้เริ่มทดลองเข้าสู่ธุรกิจสตรีท ฟู้ดส์ ผ่าน ‘ก๋วยเตี๋ยวเรือพันธุ์ไทย’ เปิดสาขาแรก ณ รังสิตคลอง 3 ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และมีความชัดเจนมากขึ้นด้วยการจัดตั้งบริษัทย่อย ‘บริษัท ก๋วยเตี๋ยวเรือพันธุ์ไทย จำกัด’ เพื่อบุกธุรกิจนี้เต็มกำลัง ด้วยโมเดล ‘ครบจบในที่เดียว’
ตามแผนสิ้นปีนี้จะมีการเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวเรือพันธุ์ไทยให้ครบ 5 สาขา และในปี 2569 จะเพิ่มเป็น 50 สาขา ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล แบ่งเป็นสาขาในและนอกปั๊มอย่างละ 50% โดยสาขานอกปั๊มจะเน้นแหล่งชุมชนเมือง ออฟฟิศ และย่านศูนย์กลางธุรกิจ
พร้อมสู้ในศึกธุรกิจร้านกาแฟ
ขณะที่ในส่วนธุรกิจร้านกาแฟ ทางพันธุ์ไทย ยังเดินหน้าขยายต่อไป โดย ณ สิ้นปี 2568 จะมีสาขา 2,600 แห่ง และปี 2569 จะขยายเพิ่มอีก 1,000 สาขา เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการมีสาขา 5,000 แห่งภายในปี 2571
สุขวสา บอกว่า แม้เศรษฐกิจไม่ดี แต่ภาพรวมของธุรกิจร้านกาแฟในไทยยังไปได้ดี อย่างตอนนี้มีมูลค่าราว 65,000 ล้านบาท โต 8-9% และปีหน้าโตต่อ ส่วนเรื่องการแข่งขันเป็นเรื่องปกติของธุรกิจ
“เราคุยกับคนในแวดวง Mass coffee เหมือนกันเรื่องมีรายใหม่เข้ามา เพราะตอนแรกเราก็กังวล แต่สรุปยอดขายไม่ตกแถมโตด้วย แสดงว่ามีดีมานต์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะการดื่มกาแฟกลายเป็นชีวิตประจำของคนไปแล้ว เช่นเมื่อก่อนคนไทยดื่มกาแฟ 180 แก้ว/คน/ปี ตอนนี้เพิ่มเป็น 340 แก้ว อนาคตอาจเป็น 400-500 แก้วก็ได้ เหมือนญี่ปุ่นหรือเกาหลีที่ดื่มกาแฟแทนน้ำ”
สำหรับเทรนด์น่าสนใจของธุรกิจร้านกาแฟ คือ การพัฒนาของตลาดจากการที่ผู้บริโภคมีความรู้เกี่ยวกับกาแฟเพิ่มขึ้น จะเห็นได้จากการมาแรงของเซ็กเม้นท์ Specialty Coffee และ Premium mass รวมถึงการเข้ามาของแบรนด์ต่างประเทศมากขึ้น
ประเด็นนี้ สุขวสา บอกว่า มีผลต่อให้แข่งขันในธุรกิจนี้เปลี่ยนแปลงไป โดยผู้บริโภคต้องการ ‘ของดีมีคุณภาพ’ และมาใน ‘ราคาจับต้องได้’ ซึ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดต้องแข่งกันพัฒนา
“กาแฟแก้วมากกว่า 100 บาทน่าจะอยู่ยาก เพราะตอนนี้ผู้บริโภคมีทางเลือกมาก สำหรับเราเองการรับมือเรื่องนี้ คือ การเปิดตัว ‘ไทยริกาโน’ กาแฟพิเศษสายพันธุ์อาราบิก้า 100% จากแหล่งปลูกที่ดีที่สุดในแม่ฮ่องสอน วางขายแก้วละ 65 บาท ซึ่งผลตอบรับดี และเรากำลังจะเพิ่มเมนูใหม่สำหรับเพิ่มความหลากหลาย เช่น เมนูผสมนม เพราะคนไม่ได้ดื่มกาแฟดำอย่างเดียว”
อีกเทรนด์หนึ่งที่น่าจับตา คือ กลุ่มคนดื่มกาแฟมีอายุ ‘น้อยลง’ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen z สำหรับอินไซต์ของคนกลุ่มนี้ชอบความแปลกใหม่ เมนูถ่ายรูปสวย โดยพันธุ์ไทยได้ตอบโจทย์ของคนกลุ่มนี้ด้วยเมนูใหม่ เช่น กาแฟส้มมะปี๊ด, ทิงซ่าโดดกำแพง เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของ สปาร์คกิ้งโซดา มะนาวสด และกระทิงแดงครึ่งขวด ส่วนหนึ่งของโปรเจกต์ ‘ดีดศาสตร์’ ที่พันธุไทยร่วมมือกับกระทิงแดง เป็นต้น
รวมถึงเปิดโมเดลร้านใหม่ อย่าง ‘ร้านกาแฟพันธุ์ไทย 24 ชั่วโมง’ ที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าได้ทุกช่วงเวลา สามารถสร้างยอดขายได้ตลอดทั้งวันและขยายฐานลูกค้าใหม่จากกลุ่มที่มักใช้ร้านสำหรับทำงานหรือพักผ่อนในเวลากลางคืน เริ่มต้นนำร่อง 6 สาขา
แน่นอนว่า ความเคลื่อนไหวทั้งหมด พันธุ์ไทยต้องการเพิ่มแรงส่งให้ธุรกิจเติบโต และสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ โดยใช้กลยุทธ์ Brand Extension และ eco-system ที่อยู่ภายใต้เครือ PTG มาสร้างความได้เปรียบ
ส่วนการเข้าสู่ธุรกิจสตรีท ฟู้ดส์ เกิดจากการเห็นโอกาสที่จะสร้างให้เป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนการเติบโตรอบใหม่ที่ ‘ใหญ่กว่า’ ธุรกิจร้านกาแฟ ซึ่งน่าสนใจว่า นอกจากจะมีแบรนด์ก๋วยเตี๋ยวเรือพันธุ์ไทยเป็นหักหอกแล้ว จะมีการขยายต่อไปอย่างไร







