เงินดอลลาร์สหรัฐฯ เคลื่อนไหวอยู่ในช่วงแคบตลอดสัปดาห์ ณ อัตรา 1.20-1.21 ดอลลาร์/ยูโร ปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อค่าเงินดอลลาร์ ได้แก่ บรรดารายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ทยอยประกาศออกมาเป็นระยะๆ ส่งผลให้ตลาดเงินไม่มั่นใจเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯในเดือนกันยายนนี้ ส่วนเงินเยนญี่ปุ่นค่อนข้างมีเสถียรภาพ ซื้อขายอยู่ในอัตราเฉลี่ยราว 109 เยน/ดอลลาร์ เนื่องจากนักค้าเงินคลายความกังวลเกี่ยวกับราคาน้ำมันลงบ้าง เทียบกับระดับราคาในช่วงก่อนที่พุ่งเกือบถึง 50 ดอลลาร์/บาร์เรล
เงินปอนด์สเตอร์ลิงอังกฤษ มีค่าอ่อนตัวลงเป็นลำดับ เป็นผลจากตลาดเงินคาดว่าธนาคารกลางอังกฤษคงไม่ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอีกในเร็วๆนี้ เพราะผลกระทบจากที่อังกฤษได้เพิ่มอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว 5 ครั้ง เริ่มส่งผลให้เศรษฐกิจคลายความร้อนแรงลง สำหรับราคาทองคำในตลาดต่างประเทศ ยังคงเข้มแข็งเหนือระดับ 400 ดอลลาร์/ออนซ์ ได้รับแรงสนับสนุนจากปริมาณความต้องการซื้อทองคำในตลาดยังคงหนาแน่น ท่ามกลางวิกฤตวุ่นวายในอิรัก รัสเซียและอิสราเอล
เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ปิดฉากเดือนสิงหาคม ด้วยอัตราเฉลี่ยราว 1.20 ดอลลาร์/ยูโร ได้รับปัจจัยสนับสนุนเล็กน้อยจากรายงานตัวเลข GDP สหรัฐฯ ไตรมาสที่ 2 เป็นไปตามความคาดหมายอยู่ที่อัตราเพิ่ม 2.8% ในขณะเดียวกัน ความพอใจของผู้บริโภคอเมริกันจากการสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนในเดือนสิงหาคมก็อยู่ในระดับที่ยังน่าพอใจ 95.9 สูงกว่าเดือนก่อนอยู่ที่ระดับ 94.0 รวมถึงการบริโภคส่วนบุคคลเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้น 0.8% ล้วนมีผลช่วยให้ตลาดเงินคึกคักเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตาม เงินดอลลาร์กลับหมดแรงลงในเวลาต่อมา เพราะรายงานตัวเลขเศรษฐกิจอื่นๆที่เริ่มทยอยประกาศในเวลาถัดมา ไม่ค่อยส่งผลดีแก่ค่าเงินดอลลาร์เท่าใดนัก และทำให้นักลงทุนไม่แน่ใจในภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ย ซึ่งธนาคารกลางสหรัฐฯจะพิจารณาอีกครั้งในเดือนกันยายน นี้ รายงานเศรษฐกิจที่บั่นทอนแรงซื้อเงินดอลลาร์ อาทิ
• ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่สำรวจโดยกลุ่มธุรกิจเอกชนในเดือนสิงหาคมลดลงอยู่ที่ 98.2 เทียบกับระดับเฉลี่ยเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 105.7
• ดัชนีวัดกิจกรรมธุรกิจในรัฐทางตะวันตกตอนกลางเดือนสิงหาคม ปรากฏว่าลดลงอยู่ที่ 57.3 เทียบกับเดือนก่อนอยู่ที่ 64.7
• ดัชนีวัดกิจกรรมภาคการผลิตอุตสาหกรรมเดือนสิงหาคมลดลงอยู่ในระดับ 59.0 เทียบกับเดือนกรกฎาคมที่ระดับ 62.0
• ยอดตัวเลขชดเชยแก่ผู้ว่างงานในสัปดาห์สิ้นสุดเดือนสิงหาคมเพิ่มขึ้น สะท้อนว่าสถานการณ์การจ้างงานสหรัฐฯไม่ค่อยแจ่มใสนัก
สาเหตุอื่นๆที่บั่นทอนให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนแรงลงในช่วงต้นเดือนกันยายน โดยซื้อขายอยู่ในอัตราเฉลี่ยราว 1.21 ดอลลาร์/ยูโร ได้แก่ ความวิตกกังวลเกี่ยวกับการก่อการร้ายในช่วงการประชุมใหญ่ของพรรครีพับลิกันในนิวยอร์ก รวมถึงการที่เงินยูโรเข็มแข็ง เพราะได้รับแรงสนับสนุนจากการที่ธนาคารกลางยุโรปคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจกลุ่มยูโรในปี 2547 และ 2548 แทบไม่ได้รับผลกระทบกระเทือนจากวิกฤตราคาน้ำมันแพง ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอีกเพียง 0.1% เท่านั้นในปี 2547 และ 2548
เงินปอนด์อังกฤษ มีค่าลดลงจากอัตราเฉลี่ยราว 1.80 ดอลลาร์/ปอนด์ มาอยู่ที่อัตราเฉลี่ยราว 1.78 ดอลลาร์/ปอนด์ ทั้งนี้ เนื่องจากการสำรวจของสมาพันธ์อุตสาหกรรมอังกฤษระบุว่ายอดค้าปลีกเดือนสิงหาคมค่อนข้างซบเซาอย่างมาก เป็นผลจากการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่ผ่านๆมา รวมถึงภูมิอากาศไม่เอื้ออำนวย ส่งผลให้คนอังกฤษชะลอการจับจ่ายใช้สอย ยิ่งไปกว่านั้น ตัวเลขจำนวนสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ลดลงก็สะท้อนว่ายอดซื้อขายบ้านชะลอลงเช่นกัน ล้วนโน้มน้าวให้ตลาดเงินเก็งว่าอังกฤษอาจเลื่อนการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยออกไป ไม่ใช่ในเร็วๆนี้ ดังที่เคยคาดการณ์ไว้
ราคาทองคำในตลาดต่างประเทศ ยังคงมั่นคงเคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 407-410 ดอลลาร์/ออนซ์ ปัจจัยสำคัญที่หนุนราคาทองคำ ได้แก่ ความไม่แน่นอนของทิศทางเงินดอลลาร์อันเป็นผลจากตัวเลขเศรษฐกิจและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ความรุนแรงในประเทศต่างๆที่เกี่ยวพันกับเหตุการณ์ระเบิดทั้งในอิรัก อิสราเอล และรัสเซีย ส่งผลให้ปริมาณความต้องการซื้อทองคำ เพื่อเป็นหลักทรัพย์ปลอดภัยยังคงเพิ่มขึ้น ประกอบกับความหวาดกลัวในเรื่องการก่อการร้ายในสหรัฐฯระหว่างการประชุมใหญ่พรรครีพับลิกันในนครนิวยอร์ก และช่วงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯปลายปีนี้ ได้ส่งผลดีแก่ราคาทองคำทั้งสิ้น
อัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับเงินตราสำคัญสกุลต่างๆ ณ วันที่ 30 สิงหาคม 2547 เทียบกับวันที่ 2 กันยายน 2547 (ตัวเลขในวงเล็บ) มีดังนี้
เงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีค่าเท่ากับ 1.2062 ดอลลาร์/ยูโร (1.2171 ดอลลาร์/ยูโร) 109.94 เยน (109.54 เยน) และ 1.7965 ดอลลาร์/ปอนด์ (1.7891 ดอลลาร์/ปอนด์)
ราคาทองคำในตลาดลอนดอน เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2547 เท่ากับ 410.60 ดอลลาร์/ออนซ์ เทียบกับราคา 407.60 ดอลลาร์/ออนซ์ เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2547
