แนวโน้มอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ปี 2548 … เติบโตชะลอลงเล็กน้อยจากปีก่อนหน้า

ในช่วงที่ผ่านมาของปี 2547 อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์มีการขยายตัวได้ดี จากที่มีการชะลอตัวในปีก่อนหน้า โดยความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศอยู่ในระดับสูง เนื่องจากได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาวะการลงทุนในด้านการก่อสร้างภายในประเทศ ทั้งในโครงการของภาคเอกชนและภาครัฐ อย่างไรก็ตาม กิจกรรมในด้านการก่อสร้างเผชิญกับปัญหาต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อผู้รับเหมาก่อสร้างและเกิดความล่าช้าของโครงการก่อสร้างโดยรวม นอกจากนี้ ปัจจัยด้านลบ เช่น ความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก สถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ และการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนก ได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจ ซึ่งส่งผลให้การลงทุนในภาคเอกชนมีทิศทางที่ชะลอลงในช่วงครึ่งหลังของปี ในช่วงระหว่างเดือนมกราคมถึงกันยายน 2547 ยอดขายซีเมนต์ในประเทศมีปริมาณ 20.5 ล้านตัน ขยายตัวร้อยละ 13 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่การผลิตปูนซีเมนต์มีปริมาณ 26.5 ล้านตัน คิดเป็นอัตราการขยายตัวร้อยละ 8.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่ายอดจำหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศในปี 2547 จะมีระดับประมาณ 27.3 ล้านตัน คิดเป็นอัตราการขยายตัวร้อยละ 12.7 เมื่อเทียบกับ 24.2 ล้านตันในปี 2546 แรงผลักดันจากอุปสงค์ภายในประเทศที่ขยายตัวสูงคาดว่าจะทำให้การผลิตปูนซีเมนต์ในปี 2547 มีปริมาณทั้งสิ้นประมาณ 35.6 ล้านตัน คิดเป็นอัตราการขยายตัวร้อยละ 9.4 เทียบกับ 32.5 ล้านตันในปี 2546 อัตราการใช้กำลังผลิตในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ในปี 2547 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับประมาณร้อยละ 63.3 ปรับตัวดีขึ้นจากระดับร้อยละ 57.6 ในปี 2546

แนวโน้มอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ในปี 2548 คาดว่าจะยังมีการขยายตัวได้ดีแม้ว่าจะเป็นอัตราที่ชะลอลงจากปี 2547 โดยได้รับประโยชน์จากกิจกรรมด้านการลงทุนของประเทศ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า การลงทุนในด้านการก่อสร้างภายในประเทศในปี 2548 จะมีมูลค่าประมาณ 680,000 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต ณ ราคาปีฐาน ที่ประมาณร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับปี 2547 (ชะลอลงเล็กน้อยเทียบกับคาดการณ์การเติบโตในปี 2547 ที่ร้อยละ 11) อันจะส่งผลให้ความต้องการใช้วัสดุก่อสร้างยังมีการเติบโตได้ในเกณฑ์ที่ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ภายในประเทศในปี 2548 จะอยู่ที่ประมาณ 30 ล้านตัน ขยายตัวประมาณร้อยละ 9.9 ซึ่งเป็นการเติบโตที่ค่อนข้างดีแม้ว่าจะชะลอลงจากปี 2547 อย่างไรก็ตาม ก็ยังเป็นระดับที่ต่ำกว่าช่วงก่อนหน้าวิกฤตเศรษฐกิจที่เคยสูง 37 ล้านตันในปี 2539

การผลิตปูนซีเมนต์ในปี 2548 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ปีประมาณ 38.3 ล้านตัน ขยายตัวประมาณร้อยละ 8 อันเป็นผลมาจากความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ภายในประเทศ ขณะที่การส่งออกน่าจะมีทิศทางที่ลดลง และคาดว่าอัตราการใช้กำลังผลิตปูนซีเมนต์จะเพิ่มขึ้นมาเป็น 68% ในปี 2548 ทั้งนี้ อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์มีกำลังการผลิตเต็มที่ประมาณ 54 ล้านตัน ซึ่งถ้าระดับการผลิตปูนซีเมนต์เพิ่มขึ้นประมาณ 2.5-3 ล้านตันต่อปี อาจยังต้องใช้ระยะเวลาอีกประมาณ 2-3 ปีกว่าที่อุตสาหกรรมจะมีความจำเป็นต้องมีการลงทุนขยายกำลังผลิตเพิ่ม ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าประมาณปี 2550 อัตราการใช้กำลังการผลิตปูนซีเมนต์น่าจะสูงเกินระดับร้อยละ 75 ได้
แม้ว่าในปี 2548 จะยังคงมีปัจจัยบวกที่จะสนับสนุนให้ธุรกิจมีการขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง แต่ในด้านโครงการก่อสร้างของภาครัฐที่คาดว่าจะมีปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นนั้น ถ้าในบางช่วงเวลาที่ความต้องการใช้วัสดุก่อสร้างประเภทใดประเภทหนึ่งเพิ่มขึ้นเร็วกว่าความสามารถในการปรับเพิ่มกำลังผลิตอุปทาน อาจส่งผลให้เกิดภาวะอุปทานเพิ่มขึ้นตามได้ไม่ทันและเกิดภาวะที่ราคาปรับตัวสูงขึ้นได้ ทั้งนี้ สำหรับอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์เอง ถึงแม้ว่ากำลังการผลิตของปูนซีเมนต์ทั้งหมดจะมีประมาณ 54 ล้านตัน แต่การปรับเครื่องจักรให้สามารถเพิ่มกำลังผลิตในปริมาณมากๆอาจต้องอาศัยเวลาระยะหนึ่งด้วย นอกจากนี้ ข้อจำกัดในด้านอุปทานอาจส่งผลให้โครงการก่อสร้างมีความล่าช้าทำให้การเติบโตอาจไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้

สำหรับปัจจัยด้านราคาน้ำมัน เนื่องจากอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์เป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่มีต้นทุนน้ำมันคิดเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าอุตสาหกรรมโดยเฉลี่ย ดังนั้น ถ้าราคาน้ำมันดีเซลมีการปรับขึ้นในปี 2548 อาจมีผลต่อต้นทุนค่าขนส่งปูนซีเมนต์บ้าง หากพิจารณาโครงสร้างปัจจัยการผลิตของอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์พบว่าผลิตภัณฑ์น้ำมันคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 12 ของปัจจัยการผลิตขั้นกลางทั้งหมดในการผลิตปูนซีเมนต์ และถ้ารวมต้นทุนพลังงานทั้งหมด (เช่น ผลิตภัณฑ์น้ำมัน การใช้ไฟฟ้า และก๊าซธรรมชาติ) จะมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 35 ของปัจจัยการผลิตขั้นกลางทั้งหมด หรือคิดเป็นร้อยละ 16 ของมูลค่าผลผลิตโดยรวมในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ทิศทางราคาน้ำมันในปี 2548 จึงเป็นตัวแปรหนึ่งที่อาจมีผลกระทบต่อต้นทุนด้านพลังงานในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ และอาจส่งผลต่อระดับราคาปูนซีเมนต์รวมทั้งอัตรากำไรของธุรกิจปูนซีเมนต์ในปีข้างหน้า