บลจ.กสิกรไทยทวงแชมป์บริหารกองทุนรวมได้สำเร็จ “ดัยนา” เผยในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ออกกองทุนรวมตราสารหนี้กว่า 7 กองทุนมูลค่ากว่า 2.7 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้กลับมาผงาดบริหารจัดการสินทรัพย์กองทุนเป็นอันดับ 1 คาดสิ้นปีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารเพิ่มขึ้นกว่า 25%
นางดัยนา บุนนาค กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด หรือK-ASEET เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานในปีนี้บริษัทตั้งเป้ากลับมาเป็นบริษัทจัดการกองทุนที่มีมูลค่าการ บริหารจัดการทรัพย์สินครองส่วนแบ่ง ตลาด (มาร์เกตแชร์) เป็นอันดับ 1 จากที่ก่อนหน้าอยู่ในอันดับ 3 รองจาก บลจ.เอ็มเอฟซี และบลจ.กรุงไทย ซึ่งมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการอันดับ 1 และ 2 เนื่องจากได้บริหารกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 แห่งละ 1.5 แสนล้านบาท รวมเป็นเงิน 3 แสนล้านบาท
“ในช่วงที่ผ่านมาเรากลับมาเป็นอันดับ 1 ได้สำเร็จ เนื่องจากมีการระดมเงินผ่านการออกกองทุนตราสารหนี้มูลค่ากว่า 2.7 หมื่นล้านบาท หรือมีอัตราการขยายตัวของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิกว่า 57% เมื่อเทียบ กับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม” นางดัยนากล่าว
สำหรับการออกกองทุนในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ บลจ.กสิกรไทยมีการออกกองทุนตราสารหนี้จำนวน 7 กองทุน ทำให้มูลค่าสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้น 2 หมื่นล้านบาท ทำให้บลจ. กสิกรไทยมีส่วนแบ่งทางตลาดขึ้นเป็น อันดับ 1 โดยมีสินทรัพย์กองทุนรวมภายใต้การบริหารเพิ่มขึ้นเป็น 1.63 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ บลจ.ที่มีส่วนแบ่งตลาด (มาร์เกตแชร์) กองทุนรวม 5 อันดับแรก ในปี 2547 ประกอบด้วย 1.บลจ. เอ็มเอฟซี มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 1.23 แสนล้านบาท 2.บลจ.กรุงไทย มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 9.62 หมื่นล้านบาท 3.บลจ.กสิกรไทยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 7.84 หมื่นล้านบาท 4.บลจ.ไอเอ็นจี มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 7.14 หมื่นล้านบาท และ 5.บลจ.ทหารไทย มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 6.02 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทยังได้ออกกองทุนเปิดรวงข้าว SET50 (RSET50) มูลค่า 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะเน้นลงทุน ในหุ้นสามัญไม่น้อยกว่า 65% เปิดขายเมื่อวันที่ 29 มีนาคม-7 เมษายนที่ผ่านมา
สำหรับกองทุนรวงข้าว SET50 เป็นกองทุนตราสารแห่งทุนที่ตอบสนองผู้ลงทุน ที่มุ่งหวังจะลงทุนในหุ้นสามัญในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบของดัชนี SET50 ซึ่งภายหลังจากหักค่าใช้จ่ายจะให้ผลตอบแทนเทียบเคียงกับผลตอบแทนของดัชนีตลาดหุ้น
“เรามั่นใจว่าแนวโน้มตลาดหุ้นไทยน่าจะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นทำให้ออกกองทุนเปิดรวงข้าว SET50 มา เพื่อตอบสนองความต้องการนักลงทุน และการที่ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมาถือเป็นจังหวะดีในการเข้าไปลงทุนของกองทุน หุ้น เพราะราคาหุ้นเริ่มถูกเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า” นางดัยนากล่าว
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นในช่วงไตรมาสสองยอมรับว่ามีความผันผวนเมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีนี้ แต่บริษัทประเมินว่าในช่วงสิ้นปี ดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 770 จุด แม้ว่าภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นจะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่ยังเชื่อมั่นว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ในปีนี้จะอยู่ที่ 4.7-5% โดยคาดว่าผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในปีนี้จะมีอัตราการขยายตัวประมาณ 15%
นางดัยนากล่าวว่า “ในสิ้นปีนี้บริษัทคาดว่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการจะเพิ่มขึ้นประมาณ 25% เมื่อเทียบกับในช่วงที่ผ่านมามีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ 1.63 แสนล้านบาท ส่วนการที่มีกระแสข่าวระบุว่า ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทจัดการกองทุนมีการขายหุ้นออกมาเป็นจำนวนมาก นางดัยนากล่าวว่า ธุรกิจจัดการกองทุนจำเป็นต้องมีการปรับพอร์ตการลงทุน แต่ในส่วนของบลจ.กสิกรไทยในช่วงที่ผ่านมามีกองทุนหุ้นมีสัดส่วนหุ้นถือหุ้นอยู่ในสัดส่วนกว่า 95% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ การบริหารจัดการกองทุนของผู้จัดการกองทุนของเราจะดูจังหวะเวลาในการเข้าซื้อหุ้น แม้ในช่วงที่ผ่านมาจะมีปัจจัยลบเข้ามาในตลาด แต่เราก็ยังเข้าลงทุน เนื่องจากประเมินว่า พื้นฐานตลาดหุ้นยังแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เราตัดสินใจออกกองทุนหุ้นมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาทในช่วงนี้ ซึ่งถือเป็นจังหวะที่ดีในการเลือกซื้อหุ้นที่ราคาปรับตัวลดลง”
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า การลงทุนในตลาดหุ้นระยะยาวคาดว่าจะให้ผลตอบแทนในอัตราที่สูงเมื่อเทียบกับการฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ที่ให้ผลตอบแทนจากการลงทุนเฉลี่ยเพียง 1-2% เท่านั้น และในปัจจุบันอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไร (พี/อี) ของหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ถือว่าอยู่ในระดับต่ำมากเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน โดยปัจจุบันพี/อีอยู่ที่ 9-10 เท่า ซึ่งถือเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าไปลงทุน สำหรับแนวโน้มหุ้นที่ได้รับปัจจัยบวกจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของ ราคาน้ำมันคือ หุ้นกลุ่มพลังงาน


