จับตาแนวโน้มจัดสรรปรับแผนธุรกิจ ทั้งบริษัทในและนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ เร่งเพิ่มศักยภาพเสริมความแข็งแกร่งองค์กรรอบด้าน เร่งหาพันธมิตรร่วมทุน ไล่เทกโอเวอร์ลดต้นทุน-ความเสี่ยงธุรกิจ หวังดูดนักลงทุนกลับคืน เหตุหุ้นกลุ่มอสังหาฯขาดเสน่ห์หมดแรงจูงใจ
ย่างก้าวเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนมาแล้ว 2 เดือน อากาศในบ้านเราก็เริ่มทวีความร้อนแรงขึ้นทุกที แต่ความร้อนที่เพิ่มขึ้นก็ไม่ได้ส่งผลให้เกิดความร้อนแรงของหุ้นในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เลย ในทางกลับกันความร้อนแรงในการลงทุนซื้อหุ้น ในกลุ่มอสังหาฯกลับลดลงเรื่อยๆ สำหรับปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้หุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ขาดความน่าสนใจจนนักลงทุนลดน้ำหนักความสำคัญ กับการเข้ามาลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าวนั้น หากจะกล่าวถึงปัจจัยหลักๆ ก็คงหนีไม่พ้นปัญหาในด้านต้นทุนที่เพิ่มขึ้น จากปัจจัยราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นราคา จนส่งผลให้ต้นทุนวัสดุก่อสร้าง และค่าขนส่งขึ้นราคา รวมถึงปัญหาการขึ้นค่าแรงงาน และต้นทุนที่ดินที่ปรับสูงขึ้น
นอกจากนี้ ปัจจัยในเรื่องของแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น จนทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคในตลาดลดลง ซึ่งมีผลต่อการชะลอการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย จากบริษัทพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ทั้งบริษัทที่ซื้อขายอยู่ในตลาดและกำลังจะนำหุ้นเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ฯ และอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้หุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์มีความน่าสนใจลดลง ก็คือ การแข่งขันที่รุนแรงในตลาดอสังหาริมทรัพย์
ซึ่งเมื่อผนวกเข้ากับปัจจัยต้นทุนการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นแล้ว ทำให้บรรดาบริษัทจัดสรรต้องมีการปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5-10% ตามต้นทุนของสินค้าที่สูงขึ้นด้วย และจากการที่บริษัทจัดสรรจำเป็นต้องมีการปรับเพิ่มราคาสินค้านี้เอง จึงส่งผลให้ยอดขายสินค้าของบริษัทจัดสรรมียอดขายที่ลดลง อาจมีผลต่อการปันผลในอนาคตของแต่ละบริษัท และทำให้หุ้นในกลุ่มอสังหาฯ ขาดความน่าสนใจในสายตา ของนักลงทุน จากปัจจัยและปัญหาที่เกิดขึ้นนี้เอง จึงทำให้เกิดความน่าสนใจและน่าจับตามองว่า บรรดาผู้ประกอบการในตลาดอสังหาริมทรัพย์จะมีการปรับตัวกันไปในทิศทางใด
รศ.มานพ พงศทัต อาจารย์ประจำภาควิชาเคหะการ คณะสถาปัตยกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นว่า จากปัจจัยและปัญหาที่เกิดขึ้นต่างๆ ทำให้เป็นธรรมดาในช่วงนี้ จะเริ่มเห็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ และกำลังจะนำหุ้นเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ ต้องมีการปรับแผนธุรกิจ เพื่อเพิ่มศักยภาพและความแข็งแกร่งของบริษัท ให้เกิดความน่าสนใจและดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามา ซื้อหุ้นของบริษัท ซึ่งจะเห็นได้ว่าขณะนี้มีหลายๆ บริษัทเริ่มมีการปรับแผนกันบ้างแล้ว
ส่วนบริษัทที่มีการจดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชน แต่ยังไม่ได้นำหุ้นเข้าเทรดในตลาด ก็ชะลอเวลาในการเข้าเทรดในตลาด เพราะเป็นที่รู้กันดี ว่าหากนำหุ้นเข้าเทรดในตลาดช่วงนี้ ราคาหุ้นหลังจากมีการเทรดแล้วอาจจะไม่สดใสดังที่วาดฝันกันไว้ อย่างเช่น บริษัท วังทอง จำกัด (มหาชน) บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือแม้กระทั่งบริษัทที่เพิ่งผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ ผ่านแผนการฟื้นฟู และพร้อมที่จะกลับเข้าไปเทรดในตลาดอย่าง บริษัท เค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ก็ยังรอดูสถานการณ์อยู่
“สำหรับบริษัทที่มีแผนที่จะเข้าเทรดในตลาดให้ได้ในปีนี้ ก็จำเป็นต้องมีการปรับแผนธุรกิจและเพิ่มศักยภาพ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้นักลงทุนเข้ามาซื้อหุ้น อาทิ มีการเพิ่มศักยภาพในด้านของรายได้ ทุนจดทะเบียน หรือสร้างความแข็งแกร่งด้านเทคโนโลยีการก่อสร้าง หรือเพิ่มช่องของตลาดใหม่ๆ เป็นต้น” นายมานพกล่าว
อนึ่ง ผู้ประกอบการในตลาดหลักทรัพย์ฯ และนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มีแผนจะเข้าเทรดและได้มีการปรับแผน เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับองค์กร ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการเพิ่มทุนจดทะเบียนหรือการหาพันธมิตรมาร่วมทุน ตลอดจนการเทกโอเวอร์บริษัทขนาดเล็ก บริษัทลูก เพื่อเสริมศักยภาพของบริษัท ที่เห็นได้ชัดเจนคือ บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไรมอนแลนด์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท อารียาพร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)
โดยในส่วนของบริษัท อารียา ได้มีการเข้าเทกโอเวอร์ บริษัท วันดารา จำกัด แล้ว ซึ่งในการเข้าเทกโอเวอร์บริษัทวันดาราครั้งนี้ นายวิศิษฎ์ เลาหพูนรังษี ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัทอารียา พรอพเพอร์ตี้ กล่าวว่า การเทกโอเวอร์กิจการของโครงการวันดารา จะทำให้ขนาดสินทรัพย์ของ บริษัทเพิ่ม 20-30% จากเดิมที่ปัจจุบันที่มีสินทรัพย์รวมประมาณ 4.3 พันล้านบาท โดยจะใช้วิธีการแลกหุ้น (สวอปหุ้น) กับกลุ่มวันดารา ซึ่งจะทำให้กลุ่มวันดาราเข้ามาถือหุ้นในอารียาพรอพเพอร์ตี้ ในสัดส่วนไม่เกิน 20% ของทุนจดทะเบียน
นอกจากนี้ เป้าหมายหลักของการเทกโอเวอร์ในครั้งนี้ ก็คือต้องการรอพัฒนา (แลนด์แบงก์) ของวันดารา ซึ่งถือเป็นโครงการที่ดีและสามารถพัฒนาให้เกิดประโยชน์สูงสุดในอนาคต ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับการที่บริษัทจะต้องลงทุนซื้อที่ดินเข้ามาพัฒนาโครงการและมีต้นทุนจากการกู้เงินซื้อแลนด์แบงก์แล้วถือว่าการเทกโอเวอร์ครั้งนี้จะได้ประโยชน์มากกว่า
“นอกจากการสวอปหุ้นแล้ว คณะกรรมการบริษัทก็กำลังศึกษาการออกวอร์แรนต์ให้กับผู้ถือหุ้นใหม่ รวมทั้งผู้ถือหุ้นเดิมของอารียาทุกราย ด้วย ขณะเดียวกันบริษัทยังมีแผนที่จะแตกพาร์หุ้น จาก 2 บาท ให้เหลือ 1 บาท เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับหุ้นในตลาด” นายวิศิษฏ์ กล่าว
ส่วนบริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) ที่ขณะนี้กำลังจ่อคิวนำหุ้น เข้าเทรดในตลาดก็ได้มีการเทกโอเวอร์ บริษัทโกรโยธากรุ๊ป จำกัด เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งด้านเทคโนโลยี การก่อสร้างของบริษัท ซึ่งในการเทกโอเวอร์ครั้งนี้ นายชัยวัฒน์ โกวิทจินดาชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานบริหารโครงการ บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปริญสิริ ซื้อหุ้นทั้งหมดของโกรโยธา กรุ๊ป ในราคา 32 ล้านบาท เพื่อเสริมศักยภาพและสร้างความเข้มแข็งในการประกอบธุรกิจให้มีจุดแข็งกว่าคู่แข่ง รวมถึงการลดความเสี่ยงในด้านผู้รับเหมา ลดความผันผวนของต้นทุนการก่อสร้าง
นอกจากนี้ บริษัทที่เริ่มมีการปรับแผนธุรกิจอีกรายก็คือ บริษัทไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งขณะนี้ได้ทำสัญญาแต่งตั้งและว่าจ้าง Knight Asia Limited (KLA) ซึ่งมีธุรกิจหลักในการลงทุนและถือหุ้นในบริษัทอื่น และมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของนักลงทุนต่างชาติที่ประกอบธุรกิจหลักในการลงทุนและถือหุ้นในบริษัทอื่น เป็นผู้จัดหานักลงทุนเพื่อร่วมลงทุนพัฒนาโครงการ โดยหาก KLA สามารถหานักลงทุนเข้ามาร่วมลงทุนในโครงการได้ ไรมอน แลนด์ จะจ่ายเงินค่าธรรมเนียมตอบแทน KLA ในอัตราร้อยละ 1 ของจำนวนเงินลงทุนทั้งหมดที่นักลงทุนชำระเพื่อการร่วมลงทุนในโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
แนวทางในการเปลี่ยนแปลงและปรับแผนธุรกิจของบริษัทในตลาดอสังหาฯครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของผลกระทบจากปัจจัยที่เกิดในตลาดเท่านั้น หากจะมองในภาพรวมยังมีอีกหลาย บริษัทที่ยังตั้งรับกับสถานการณ์และรอเวลาในการปรับเปลี่ยนแผนและกลยุทธ์ทางธุรกิจกันอีกมาก ซึ่งการปรับเปลี่ยนจะมีแนวโน้มในทิศทางใดนั้นจะต้องจับตาดูต่อไปว่า ทิศทางของตลาดจะเป็นอย่างไร


